tag:blogger.com,1999:blog-35496287324877380622024-03-12T21:39:45.861-07:00The King Never Smiles -พากษ์ไทยTKNShttp://www.blogger.com/profile/07270010479047374707noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-3549628732487738062.post-76728016591590950542007-09-04T12:29:00.000-07:002007-09-04T12:33:37.652-07:00บทที่ 15: น้ำพึ่งเรือ-เสือพึ่งป่า (15. In the King’s Image: The Perfect General Prem)บทที่ 15: น้ำพึ่งเรือ-เสือพึ่งป่า<br />(หน้า 276-298, แฮนด์เลย์ 2006)<br /><br />Copyright 2006<br />Reproduced with the permission of the author<br />For inquiries mail TKNSThai@gmail.com or call 206-350-2059<br /><br />ผลพวงจากการทำรัฐประหารของพลเอกเกรียงศักดิ์ในปี พ.ศ. 2520 ให้บทเรียน K ว่า เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ในครั้งนั้นมากเกินไป สถานการณ์ทางการเมืองหลังยุครัฐบาลธานินท์ ทำให้K ตระหนักว่า การมีตัวแทนจากภาคประชาชนเข้า ไปเป็นรัฐบาลยังไม่เพียงพอที่ จะตอบสนองความต้องการของตน หาก K จำเป็นต้องมีทหารที่เป็นมือเป็นเท้าให้ตนเข้าไปเป็นผู้นำรัฐบาล นายทหารผู้นั้นจะต้องมีอำนาจ และสามารถทำทุกอย่าง เพื่อตอบสนองความต้องการของ K โดยไม่คิดถึงตัวเอง ในขณะเดียวกัน ก็สามารถควบคุมกองทัพไปได้พร้อมๆ กัน บุคคลที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติดังกล่าวในสายตาของ K ก็คือ พลเอกเปรม ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ภายใต้การนำของ รัฐบาลนายเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ สิ่งเดียวที่ K ต้องทำต่อจากนั้นก็คือหาโอกาสเหมาะๆผลักดันเปรม ให้ก้าวไปสู่การเป็นผู้นำคนต่อไป<br /><br /><br /><br />ตามสัญญาที่ให้ไว้ หลังการทำรัฐประหาร รัฐบาลองพลเอกเกรียงศักดิ์ ทำการปรับปรุงรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2521 โดยระบอบการปกครอง ของไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประกอบด้วยระบบสองสภา ได้แก่ 1) วุฒิสมาชิกสภา จำนวน 225 คน จากการแต่งตั้งของ นายกรัฐมนตรี (ไม่ได้มาจากการแต่งตั้งโดย K อีกต่อไป) และ 2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรที่มาจากการเลือกตั้งจำนวน 310 คน พร้อมกันนี้ กลุ่มขุนนาง และนายทหารสามารถเป็นวุฒิสมาชิกสภาได้ ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีและสมาชิกคณะรัฐมนตรี ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกรัฐสภา (นั่นคือไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง—ผู้แปล) ด้วยวิธีการนี้ ทำให้พลเอกเกรียงศักดิ์ สามารถกำหนดบุคคลภายในคณะรัฐมนตรีได้ ซึ่งสมาชิกรัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นที่พอใจของ K และทำให้พลเอกเกรียงศักดิ์ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเอง<br /><br /><br /><br />ก่อนการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2522 พลเอกเกรียงศักดิ์ มีวุฒิสมาชิกสภาเกือบ 200คนในมือ มาจากกลุ่มนายทหาร และตำรวจ ที่พร้อมสนับสนุน ตนในการสืบทอดอำนาจ ถึงกระนั้นก็ตาม รัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ไม่ได้รับการสนับสนุนจากในวัง ทั้งยังมีค ู่แข่งที่น่าเกรงกลัวอย่างหม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน (พรรคกิจสังคม) ขณะเดียวกัน รัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ยังประสพความล้มเหลวในการแก้ปัญหาของประเทศในขณะนั้น (ตัวอย่างเช่นปัญหาน้ำมันแพง, เศรษฐกิจตกต่ำ, และภัยอันอาจเกิดจาก การเข้ารุกรานเขมรของเวียดนาม) สถานการณ์เหล่านี้นำไปส ู่การฉวยโอกาสของ K ผลักดันพลเอกเปรม ขึ้นมาแทนพลเอกเกรียงศักดิ์ และเป็นตัวแทนของราชวงศ์ในการเล่นการเมือง (ผู้แปลขอไม่แปลประวัติอาชีพทหาร ของพลเอกเปรมในย่อหน้าที่ 1-2 ของ หน้า 277 เนื่องจากคนไทยส่วนมาก ทราบกันดีอยู่แล้วว่านายทหารผู้นี้ได้รับการแต่งตั้งอย่างก้าวกระโดดข้ามหัวนายทหารที่อาวุโสกว่า ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดทางการทหารได้อย่างไร ทั้งนี้มี K ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนั่นเอง)<br /><br /><br /><br />ในสถานการณ์ย่ำแย่ของรัฐบาลเกรียงศักดิ์ โอกาสของเปรมและในวังก็มาถึงในต้นเ ดือนมกราคม 2523 โดยเปรมยกเลิกแผนการตามเสด็จ Q and P2 ไปอเมริกา อย่างกระทันหันพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาน้ำมันขึ้นราคาในรัฐบาลเกรียงศักดิ์อย่างหนักหน่วง และไม่ใช่ความบังเอิญ ที่พลตรีสุตสาย หัสดิน หัวหน้ากลุ่มกระทิงแดงได้ใช้การ ประท้วงต่อต้านคอมมิวนิสต์ โจมตีรัฐบาลเกรียงศักดิ์ ในเวลาใกล้เคียง (วันที่ 24 มกราคม) ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว คึกฤทธิ์เองก็มองเห็นโอกาสที่ตนจะขึ้นมาผู้นำคนต่อไป ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ คึกฤทธิ์และ พรรรคกิจสังคม ได้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเกรียงศักดิ์ ขณะเดียวกัน กลุ่มยังเติร์กที่เคยสนันสนุน เกรียงศักดิ์ขึ้นสู่อำนาจ ได้หันมาสนับสนุน เปรมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ทั้งที่เปรมไม่ใช่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง<br /><br /><br /><br />ย้อนกลับไปกล่าวถึงภาวะความตึงเครียดทางการเมืองในปีพ.ศ.2519 ในวังต้องการให้มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจ ทางการเมืองอย่างแยบยลผ่าน การทำรัฐประหารอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทางวังตระหนักดีว่า ถ้าพลเอกเกรียงศักดิ์ชิงยุบสภาเสียก่อนเพื่อเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ก็จะมีความเสี่ยงที่ว่าผู้นำรัฐบาลคนต่อไปอาจไม่ได้มาจากกลุ่มนายทหาร หรือแม้แต่คึกฤทธิ์เอง เหตุผลดังกล่าวนำไปสู่การเข้าพบ K ที่เชียงใหม่ ของเกรียงศักดิ์และเปรม ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์เกรียงศักดิ์ได้ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันถัดไปหลังจากการเข้าเฝ้า K โดยไม่ยอมยุบสภา การกดดันของ K ในเรื่องนี้ สร้างความคับข้องใจแ ก่คึกฤทธิ์ ซึ่งก็ถูกบังคับจาก K เช่นกันโดย K ขอให้คึกฤทธิ์ เรียกประชุมสภานิติบัญญัติ เพื่อลงมติเห็นชอบให้ K แต่งตั้งเปรมเป็นนายกคนต่อไป การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถ้าดูเพียงผิวเผิน จะเข้าใจว่า ทุกอย่างดำ เนินไปตามหลักประชาธิปไตย แต่จริงๆแล้ว มันก็คือการท รัฐประหารโดยเจ้านั่นเอง และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อ เปรมได้กล่าว คำปฎิญาณตนในการเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 3 มีนาคม ว่า พรรคร่วมรัฐบาลภายใต้การนำ ของตน เป็น“รัฐบาลของ K” คำปฎิญาณ ของเปรมถือเป็นจริงเป็นจังมาก และก็ทำให้เขาสามารถอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นานที่สุด ถึง 8 ปี ภายใต้การปกป้องอย่างใกล้ชิดของ K<br /><br /><br /><br />ด้วยระบบน้ำพึ่งเรือ-เสือพึ่งป่า ครอบครัวของ K มีผู้นำรัฐบาลที่มีอำนาจและพร้อมจะรับใช้ราชวงค์อย่างถวายหัว เช่นเปรม เปรียบเทียบกับ นายทหารคนก่อนๆ เช่น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ซึ่งถึงจะจงรักภักดีต่อ K เช่นกัน แต่สฤษดิ์ทุจริตและมักมากในกามารมณ์, จอมพลถนอมและ จอมพลประภาส ทำตัวไม่มีประโยชน์ (ต่อ K และครอบครัว) และได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐอเมริกา, สัญญา ธรรมศักดิ์ และหม่อมราชวงค์ คึกฤทธิ์ ปราโมช อ่อนแอและให้ความสำคัญกับรูปแบบประชาธิปไตยตลอดจนเสียงจากมวลชนมากเกินไป ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นคน ไม่หยืดหยุ่น และไม่สามารถควบคุมกองทัพ ในขณะที่ เกรียงศักดิ์ทำตัวเป็นอิสระมากเกินไป (ไม่ค่อยรับใช้K และครอบครัว เท่าที่ควรจะทำ -ผู้แปล)<br /><br /><br /><br />เปรมต่างจากคนอื่นตรงที่เป็นคนเข้มแข็ง, เชี่ยวชาญหลายเรื่อง, และไม่เคยแสดงออกถึงความยากร่ำอยากรวยหรือชมชอบในอำนาจให้ K เห็น เปรมเข้าใจดีว่า K ไม่สนใจกับการบริหารประเทศไปวันๆ แต่ K ต้องการใครสักคนที่สามารถตอบสนองสิ่งที่ K สอนเชิงสั่งให้ทำ (issued instructions) หรือ ออกความคิดเห็นให้ทำ ทั้ง K และ เปรม มีความเชื่อเหมือนกันในวิธีแห่งการจัดลำดับทางสังคมแบบไทยๆ และคุณค่า ของการจัดลำดับทางสังคมและสาธารณะ โดยการทำให้เห็น และบังคับใช้ให้เป็นตัวอย่างก่อน และถ้าจำเป็นก็ต้อง ใช้การบังคับ ให้ทำตาม โดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎหมาย หลักความคิดเหล่านี้ได้ ปรากฎอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ของเปรม (2523-2531) ซึ่งถือเป็นช่วงแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงค์ที่ได้รับการยกย่อง ย่างสูงส่ง และการให้ความ สำคัญต่อกองทัพ ตลอดจนภาคธุรกิจ ที่สนับสนุนเปรม ในช่วง 8 ปีนี้ Kเข้าแทรกแทรกบทบาท ทางการเมืองของเปรมอย่างไร้ยางอาย (unabashed) ในทำนองเดียวกัน เปรมก็ไม่มีความละอายที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากในวัง จนเป็นที่รู้กันว่า “เมื่อใดที่เปรมช้ำชอกเขา ก็จะเข้าวังเพื่อ รับการรักษาเยียวยา และปลอบประโลมให้ลุก ขึ้นมาใหม่”จากการที่เปรมมีทุกวันนี้ได้เพราะในวังส่งเสริม จึงเรื่องที่เข้าใจได้ ว่าทำไมเขาทำ ทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของ K และครอบครัวของ K<br /><br /><br /><br />ยิ่งไปกว่านั้น K และเปรมได้พยายามจะทำความคิด “รัฐบาลของ K” ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยการก่อตั้งระบบ วัง-กองทัพ (a palace-army hierarchy) ขึ้น ภายใต้ความคิดนี้ คนของ Kจะเป็นผู้ดำรงระบบให้คงอยู่โดยการส่งเสริมกลุ่มมืออาชีพที่มีเชื้อสายเจ้า (royal professionals) เข้าไปดำรง ตำแหน่งสำคัญๆในเหล่าทัพ อย่างไรก็ดี ความคิดนี้นำไปสู่การแข่งขันอย่างทุจริตของบุคคลในกองทัพ เพื่อทำให้ตน หรือพรรคพวก ของตนได้เป็นที่โปรดปรานของในวัง ผลก็คือความสามัคคีในเหล่าทัพแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเกิดมากขึ้น ส่งผลให ้เสถียรภาพทางการเมืองของเปรม สั่นคลอน และเพิ่มความรุนแรงตามกาลเวลา สิ่งเหล่านี้หาได้รอดพ้นสายตาจากในวัง หลังจากการ ต่อสู้และความขัดแย้งภายในกองทัพเกิดขึ้นหลายครั้งเข้าม.ร.ว.ทองน้อย ทองใหญ่ ซึ่งเป็นเลขาคณะองคมนตรีของ K ได้ออกมาแสดง ความคิดเห็นว่ามีเพียง K เ ท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้นำของประเทศ ภายใต้คำถามที่ว่า “คุณคิดหรือว่า ยังมีคนที่เป็นที่นิยม (ของประชาชน) มากที่สุดและสามารถเป็นผู้นำของชาติ ที่จะพาประเทศก้าวผ่านความยากลำบากและการทุจริตไปได้? ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่น ที่จะหาคนเช่นนั้นได้ คงจะมีสถาบันกษัตริย์เท่านั้น และ K ของเราสามารถทำได้<br /><br /><br /><br />การขึ้นมามีอำนาจในช่วงแรกๆของเปรมยังไม่เป็นขี้ปากของชาวบ้านนักในช่วงการรุกรานเขมรของเวียดนาม และการคุกคามของ พรรคคอมมิวนิสต์ ต่อความมั่นคงของประเทศไทย ด้วยการสนับสนุนของ K เปรมได้ใช้ความเปราะ บางของสถานการณ์ดังกล่าว เข้าควบคุมกำลังทหาร ด้วยกรอบการทำงานการใช้นโยบายการเมืองนำการทหารเพื่อต่อต้านการกบฎ และปราบคอมมิวนิสต์(ภายใต้คำสั่งที่ 66/2523 และ 65/2525) ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความขัดแย้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทยด้วย<br /><br /><br /><br />สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ การวางกำลังและอิทธิพลของทหารในรัฐบาลและสังคมไทย โดยมุ่งใช้อำนาจทางทหารในการสร้างระบอบการเมือง ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง(ฟังดูขัดแย้งกันเองอย่างไรชอบกล-ผู้แปล) สร้างสังคมที่เป็นธรรม และขจัดการทุจริต เพื่อตอบสนอง ความต้องการของ K มันเป็นภาระอันหนักหน่วงของเปรมที่ต้องเผชิญทั้งแรงต้านจากสังคมพลเรือน และจากระบบทุนนิยมแบบผูกขาด ที่สร้างความไม่พอใจให้กับคนในสังคมถือเป็นอีกหนึ่งการทำรัฐประหารเงียบของปีพ.ศ.2523 มีการออกกฎหมาย สนับสนุนรัฐธรรมนูญและ รัฐสภาแห่งระบอบประชาธิปไตยโดยมี K เป็นประมุข อย่างไรก็ตาม ภายใต้กรอบการทำงานดังกล่าว ทั้งรัฐธรรมนูญและรัฐสภาถูกกดเอาไว้ ใต้การบริหารอำนาจและการจัดการของ Kและเปรมผ่านทางกองทัพ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ กองทัพได้รับอำนาจอย่างชอบธรรม ให้อยู่เหนือระบอบรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ โดยเป็นรองอยู่สถาบันเดียว คือ “ราชบัลลังก์”<br /><br /><br /><br />ถึงกระนั้น เปรมก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะทำอะไรดีกับอำนาจที่เขาได้มานอกเหนือไปจากการดำเนินบทบาทภายใต้ระบบวัง-กองทัพ ที่ตนและ K ร่วมกันวางไว้ เปรมใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วง4 ปีแรกสำหรับปกป้องตำแหน่งเขา โดยเขาต้องพึ่ง K มาก สิ่งที่เห็นได้ชัดในช่วง 2-3 เดือนหลังจากเปรมขึ้นเป็นผู้นำในปี 2523 ก็คือ เขาได้ใช้ทั้งขนบธรรมเนียม, ประเพณี, และกฤหมาย ในการเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง เพื่อความมั่นคงในอำนาจของตน นอกเหนือจากดำรงตำแหน่งนายกเปรมยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สิ่งเหล่านี้ (ดำรงตำแหน่งสูงๆ และสำคัญมากกว่าหนึ่งในเวลาเดียวกัน) ไม่ใช่เรื่องปกติและกระทำได้ง่ายๆ ภายหลังเผด็จการถนอม-ประภาสในช่วงพ.ศ.2517-2518 ที่เปรมทำได้ก็เพราะได้รับไฟเขียวจาก K กระ นั้น เปรมไม่สามารถหลีกพ้นคำครหาจากสาธารณะในเรื่องการควบอำนาจ และเป็นที่รู้กันว่า เปรมจะลาออกจากตำแหน่งในกองทัพ เมื่อเขาอายุครบ 60 ปีในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน<br /><br /><br /><br />อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม กองกำลังทหารของพลเอกอาทิตย์ กำลังเอกซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานของ Q ขณะนั้น ได้ยื่นร้องทุกข์ต่อ K ให้เลื่อนการเกษียณอายุของเปรมไปอีกปีหนึ่ง ทั้งนี้พลเอกอาทิตย์ซึ่งคิดว่าตัวเอง จะเป็นทายาทผู้สืบทอดอำนาจ ผู้บัญชาการทหารบกต่อจากเปรม ต้องการให้เปรมอยู่ในตำแหน่งต่อสักพัu3585 กเพื่อสกัดนายทหารคู่แข่งและมีอายุราชการอาวุโสกว่าพลเอกอาทิตย์ นั่นคือ พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา การต่ออายุ ราชการทหารของเปรมในครั้งนั้น ได้รับการวิพากวิจารณ์อย่างขว้างขวาง แม้แต่สมาชิกในคณะรัฐบาลของเปรมเองโดยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับการกระทำในสมัยจอมพลประภาพที่นำไปสู่การกบฏใน ปีพ.ศ. 2516อย่างไรก็ตาม เปรมได้เข้าเฝ้า K ในวันที่ 1 กันยายน หลังจากนั้นเขาได้ประกาศว่า K ได้สนับสนุนการต่ออายุราชการทหารของเขา คณะรัฐมนตรีได้เรียกร้องให้เปรมแสดงหลักฐานดังกล่าว ต่อมาพวกเขาถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้าในวันที่ 1 กันยายน ไม่มีการรายงานว่า K กล่าวอะไรกับคณะรัฐมนตรีที่เข้าเฝ้า แต่หลังจากนั้น คณะรัฐมนตรีได้ให้การรับรองการต่ออายุผู้บัญชาการกองทัพของเปรม<br /><br /><br /><br />มีนักการเมืองรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งที่ยังไม่เงียบ อาทิ ชวน หลีกภัย ได้ออกมากล่าวว่า การต่ออายุตำแหน่งข้าราชการ ของเปรมเป็นการกระทำ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และกลุ่มยังเติร์กบางส่วนได้ออกมาคัดค้านเช่นกัน ขณะที่ส่วนใหญ่ของกลุ่มยังเติร์กให้การสนับสนุนอาทิตย์ การคัดค้านที่ดูเหมือนจะมีนัยยะต่อสังคมมากที่สุด ก็คือการออกมาเคลื่อนไหวประท้วงของนักเรียน กลุ่มเล็กๆแต่นักเรียนกลุ่มนี้ ต้องหยุดประท้วงไปในที่สุด เพราะถูกข่มขู่จากกลุ่มกระทิงแดงที่พลตรีสุตสายหัสดิน เป็นหัวหน้าและได ้ออกมาประกาศก้องว่า “ประชาชนควรจะรู้ว่า ฉันเป็นคนที่อันตราย”<br /><br /><br /><br />ในวันที่ 5 ธันวาคม 2523 K ได้กล่าวสนับสนุนเปรมในวันคล้ายวันเกิดของเขา และส่งสารถึงกลุ่มที่รักประธิปไตยว่า “กลุ่มคนที่ฉลาดที่ยืมทฤษฎีมาจากต่างประเทศ ฉันใช้คำว่า “ยืม”เพราะว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของเรา นักวิชาการยืมเทคโนโลยีมา และพยายายามจะใช้มันเพื่อสร้างความเจริญแ ก่ประเทศไทยเพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้รับคำชื่นชม (จากเจ้าของเทคโนโลยี-ผู้แปล) ต่อการนำเทคโนโลยีและทฤษฎีที่ไม่เป็นไทยมาใช้” คำพูดในวันนั้นของ K แสดงให้สังคมรับรู้อย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเปรมและในวัง<br /><br /><br /><br />ภายใตก้ารบริหารประเทศและการปราบปรามผ ู้ก่อการอันเป็นคอมมิวนิสต์ของเปรมการนำคำสั่งที่ 66/2523 มาใช้ สามารถเร่งการล้มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยให้เร็วขึ้น กลุ่มนักศึกษา และผู้ที่เข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์u3652 ได้ออกจากป่ามามอบตัวต่อทางราชการเป็นจำนวนมาก ในปีพ.ศ.2524 พรรคคอมมิวนิสต์ที่ต่อต่านยังคงเหลืออยู่บ้าง ในพื้นที่ส่วนใต้สุดของไทย, รอบๆ เขาค้อ, และภาคเหนือตอนล่าง ในเดือน มกราคม 2524 K ได้วางแผนโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ บริเวณเขาค้อ ในครั้งนั้น พลเอกพิจิตร กุลละวาณิชย์ได้เป็นผู้ช่วยเปรมเข้าปราบปราม พรรคคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ป่าเขาค้อ ทั้งทางบกและทางอากาศ เป็นเวลาถึง 5 เดือนเต็มเพื่อเข้ายึดพื้นที่สีชมพู (บริเวณรอบเขาค้อ) คืนจนสำเร็จ นำไปสู่การล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในครั้งนั้นรัฐบาลเสียกำลังคน 1,300 นายในการต่อสู้ และพื้นที่ป่าเขาค้อถูกทำลายจนไม่เหลือสภาพ<br /><br /><br /><br />ขณะเดียวกัน สถานภาพทางการเมืองของเปรมในกรุงเทพก็ไม่สู้ราบรื่นนัก ในภาวะบ้านเมืองตกต่ำ พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ได้เติบโตพร้อมกับมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนต่อผู้สนันสนุนพรรคด้วยการทุจริตในรูปแบบต่างๆ ที่ถูกต่อต้านจากสาธารณะ ในช่วงต้นปีพ.ศ.2524 มีกระแสว่าเปรมมีแผนการจะต่ออายุการเป็นผู้บัญชาการทหารบกของเขา ออกไปอีก ส่งผลในให้นักการเมืองจำนวนมากที่หวังว่าจะได้เปรียบในเกมการเมือง ครั้งต่อไปลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลเปรม กระทั่งคึกฤทธิ์เองก็เตรียมแผนที่จะนำพรรคการเมืองของเขาเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาล<br /><br /><br /><br />หากดูเหมือนว่าเปรมไม่มีทีท่าว่าจะลงจากตำแหน่งง่ายๆ เปรมได้เตรียมจัดตั้งรัฐบาลผสมทีมใหม่ขึ้นมา โดยมีกลุ่มทหารขวาจัดเป็นแกนนำ กลุ่มคนที่เป็นหัวหอก ได้แก่ พลตรีสุตสาย หัสดินและ พลเอกประจวบ สุนทรางกูล ซึ่งมีความหวาดกลัวว่าจะมีการหวนกลับมา อีกครั้งของกลุ่มขวาจัด อย่างที่คาดไว้ K ได้ให้การอนุมัติบัญชีรายชื่อคณะรัฐบาลที่เปรม จัดตั้ง ในคืนวันที่ 31 มีนาคม2524 ได้มีความพยายามของกลุ่มทหารต่างฝ่ายกระทำรัฐประหาร แต่ทำไม่สำเร็จ และกลายเป็นรัฐประหารโกหกในวันรุ่งขึ้นไป (April Fools’ Day coup) ความล้มเหลวในความพยายามจะทำรัฐประหารครั้งนั้น เน้นให้เห็นความสำพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่าง K และเปรมในช่วงเวลาดังกล่าว<br /><br /><br /><br />กลุ่มยังเติร์ก (จปร.7) เป็นผู้นำในการทำรัฐประหารในช่วง 31 มีค.-1 เมย.2514 กลุ่มทหารเหล่านี้เป็นหทารมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์ผ่านสมรภูมิการรบในลาวและเวียดนามมาแล้ว และเคยให้การสนับสนุนเปรมในช่วงปีพ.ศ. 2523 ในกลุ่มยังเติร์กที่มีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับเปรมได้แก่ มนูญ รูปขจร และจำลอง ศรีเมือง จะเห็นได้ว่า หลังจากเปรมขึ้นสู่อำนาจในปี 2523จำลองได้เป็นเลขาธิการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กระนั้นก็ตาม นายทหารกลุ่มยังเติร์กไม่ได้ ชื่นชอบการอุปถัมถ์ทางการเมือง ของราชวงศ์ (นี่คือจุดต่างจากเปรม)<br /><br /><br /><br />รายละเอียดของรัฐประหารโกหกในวันที่ 1 เมษายน ถูกทำให้คลุมเคลือโดยในวังและผู้มีส่วนร่วม เพื่อปกป้องชื่อเสียงของ Q และเปรม และนี่ก็ไม่ใช่การทำรัฐประหารต่อต้านเปรม แต่เป็นรัฐประหารต่อต้านการ กระทำของเปรมที่อาศัยอำนาจ ทางการทหารของเขาปกป้องตัวเอง ให้รอดพ้นจากกลุ่มผู้ต้านในรัฐสภา กลุ่มยังเติร์กไม่มีความสุขต่อการสนับสนุนนักการเมืองและข้าราชการทุจริต ตลอดจนการชื่นชมพลเอกอา ทิตย์ กำลังเอก อย่างออกนอกหน้าของในวัง มีหลายคราที่มนูญและ พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา เข้าพบเปรม และขอร้องให้เปรมล้มเลิกระบบรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ และปกครองประเทศตามแบบฉบับของจอมพลสฤษดิ์ในปีพ.ศ. 2501 ดูเหมือนว่าในครั้งแรก เปรมจะเห็นด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่<br /><br /><br /><br />กลุ่มผู้นำรัฐประหาร (ในคืนที่ 31 มีนาคม 2524)ได้เคลื่อนกำลังเพื่อเข้าควบคุมกรุงเทพ อย่างไรก็ตาม Q ได้เข้าแทรกแซงและเรียกตัวเปรม เข้าเฝ้าที่วังจิตรลดา ทั้งนี้ก็เพราะ Q ต้องการปกป้องพลเอกอาทิตย์ โดย Q ได้โทรศัพท ์ถกเถียงกับผู้นำรัฐประหารเป็นเวลานาน และเรียกร้องให้กลุ่มผู้นำรัฐประหารเข้ามาเฝ้าในวังเพื่อจะได้พูดคุยกันเมื่อได้รับการปฎิเสธจากกลุ่มผู้นำรัฐประหาร Q ได้หันมาเกลี้ยกล่อมให้เปรม และ K ยกเลิกการสนันสนุนการทำรัฐประหารดังกล่าว กลุ่มผู้นำรัฐประหารได้เดินหน้าต่อไป และประกาศการเข้ายึดครองอำนาจ ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 1 เมษายน 2524 ในขณะเดียวกัน เปรมได้อพยพครอบครัวราชวงค์ทั้งหมดโดยเคร ื่องบิน(เฮลิคอปเตอร์) ไปยังฐานทัพบกภาคที่ 2 ที่โคราช ที่อาทิตย์เป็นผู้บัญชาการทหารอยู่ บนชั้นที่สองของที่พักส่วนตัวของเปรม Q, อาทิตย์ และ เปรม ได้เปิดศึก ุถุ่มเถียงกันขึ้นโดยประเด็นสำคัญว่าใครกันแน่ที่เสวยสุขจากความชมชอบของราชวงศ์และทำเพื่อ K อย่างแท้จริง ในตอนบ่ายของวันเดียวกัน เปรมได้ออกอากาศว่า ครอบครัวของราu3594 ชวงศ์อยู่กับเขา และการกระทำของกลุ่มรัฐประหาร เป็นปฎิปักษ์ต่อประเทศชาติและราชบัลลังก์ เปรมได้ตราหน้ากลุ่มผู้ทำรัฐประหาร ว่าเป็นพวกน่าละอายและเหยียดหยามว่า ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าเฝ้า K ในที่สุด Q (ไม่ใช่ K) เป็นผู้ออกมาเรียกร้องให้มีความสมัครสมัคคี พร้อมกับตำหนิผู้วางแผนก่อการรัฐประหาร รัฐบาลของพระเจ้าแผ่นดินภายใต้การนำของนายกเปรม คำพูดของ Q ถูกถ่ายทอดซ้ำเป็นระยะๆ ในอีก 36 ชม. ถัดมาหลักฐานที่แสดงจุดยืนของราชบัลลังก์ ในเวลาต่อมาอีกอย่างก็คือ ในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ P3 นั้น รูปของ P3ไ ด้ปรากฎบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายฉบับพร้อมกับคำบรรยายใต้รูปว่า P3 ได้อยู่กับเปรมที่ฐานทัพภาคที่ 2<br /><br /><br /><br />ในขณะที่ K ยังเงียบอยู่ ผู้นำรัฐประหารกล่าวหาเปรมว่าลักพาตัวครอบครัวราชวงศ์ และแถลงการณ์ว่า เปรมใช้ราชวงศ์ เป็นเกราะกำบังและดึงเอา K มายุ่งเกี่ยวกับการเมือง และอธิบายว่าคณะรัฐประหารไม่ได้ปฎิเสธการเข้าเฝ้า K แต่เป็นเปรมเองที่ไม่ยอม ให้พวกเขาเข้าเฝ้า K“คณะปฎิวัติมีความปรารถนา ที่จะส่งตัวแทนเข้าเฝ้า K และ Q….เราต้องการอธิบายความจริงต่อ Kและประชาชน”<br /><br /><br /><br />อย่างไรก็ดี เปรมถือไพ่เหนือกว่า เขาประกาศว่า “กองทัพเกือบทั้งหมดเข้าข้างตน และ Kก็อยู่กับพวกเรา หากในความเป็นจริง เปรมใช้เวลาถึง 2 วันในการล็อบบี้ผู้บังคับบัญชาการทหารภาคต่างๆ ให้มาอยู่ข้างเปรม ท้ายสุดได้มีการใช้กำลัง บังคับให้มนูญและพรรคพวก เข้ามอบตัวต่อพลเอกอาทิตย์ ในตอนเช้าวันของวันที่ 3 เมษายน พร้อมกับภาวะการเป็นผู้นำของเปรมก็รอดพ้นจากการถูกปล้นอีกครั้ง โดยแทบจะไม่มีการใช้ความรุนแรง<br /><br /><br /><br />ความคลุมเครือในการวางตัวของ K ต่อรัฐประหารโกหกเดือนเมษา เป็นเทคนิคป้องกันไม่ให้ชื่อเสียงของ Kเสียหาย หรือถ้าจะเสียหาย ก็ให้น้อยที่สุด แต่หลังจากนั้น การที่ K ยังติดอยู่กับเปรม ก็เป็นตัวอธิบายได้ดีว่า K ยังคงสนับสนุนเปรม ให้คงอำนาจอยู่ในรัฐบาล กระนั้นก็ตามยังมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง มีการนิรโทษกรรม ต่อผู้ทำรัฐประหารทั้งหมดอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีความเข้าใจ ผิดท่ามกลางลูกๆ ของ K เกี่ยวกับความปลอดภัย ดังจะเห็นได้จากมีการวาง ระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด กว่าปรกติในการปรากฎตัวในที่สาธารณะของครอบครัวราชวงศ์ในu3594 ช่วงอา ทิตย์แรกๆ หลังการรัฐประหารในปีถัดมา ทั้งเปรมและอา ทิตย์ลอดพ้นจากการถูกลอบสังหารหลายครั้งหลายครา โดยผู้ต้องสงสัยเป็นคนในกองทัพนั่นเอง เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ Kตระหนักว่า การยุ่งเกี่ยวทางการเมืองและการแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายในกองทัพเป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ ซึ่งก็ตรงกับที่ได้รับรายงาน เป็นการส่วนตัวจากเจ้าหน้าที่ที่ทำงานให้กับในวัง<br /><br /><br /><br />กระนั้น K ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะดำเ นินการต่อปัญหาดังกล่าวอย่างไร อย่างไรก็ตามเปรมตัดสินใจไม่ต่ออายุราชการทหารของเขาในปีหน้า แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาว่าเขาอาจจะสูญอำนาจในตำแหน่งนายก เพราะ K รับรองให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอย่างน้อยอีกหนึ่งปี หลังจากความล้มเหลวในการทำรัฐประหารของกลุ่มยังเติร์กเมื่อ 1 เมษายน ที่ผ่านมา พลเอกอาทิตย์ก็ได้รับการเลื่อนขั้น ขึ้นอย่างรวดเร็วให้มีอำนาจเป็นรองแค่เปรมเท่านั้น และได้เป็นผู้บังคับบัญชาการทหารบกสาน ต่ออำนาจผู้นำทางการทหารต่อจากเปรม ในปีพ.ศ.2525 หลังจากที่เปรมลงจา กตำแหน่งในปีนั้น<br /><br /><br /><br />ในเจ็ดปีแห่งความสับสนวุ่นว่ายถัดมา สถานภาพและบทบาททางการทหารและรัฐสภาของเปรมยังคงได้รับการปกป้องภายใต้ร่มเงาของ K ทั้งสองคนยังพบปะกันอย่างมิได้ขาด และ Kยังได้ส่งสัญญาณให้สาธารณะชนรับรู้อย่างสม่ำเสมอว่าเขายังสนับสนุนเปรม ที่โดดเด ่นที่สุดจะเห็นจากการสนับสนุนเปรมผ่านเชิงสัญลักษ์ณทางศาสนาพุทธ ดังที่ปรากฎในเดือนกรกฎาคม 2525ที่ K ป่วยหนักด้วยโรค mycoplasmic infection และปอดบวม และในวังหวาดวิตกว่า K อาจจะตายK กล่าวถึงการป่วยของเขาในเวลาต่อมาว่า เขาได้ก้าวผ่านแดนสนธยา หลังจากนอนป่วยบนเตียงอยู่สามอาทิตย์ K ลุกขึ้นไปเดินเล่นเป็นการส่วนตัวในสวนจิตรลดาโดยมี P3 และเปรมเดินตามอยู่ข้างหลัง จากภาพที่ปรากฎสะท้อนให้เห็นตำแหน่งของเปรมดุจดังเจ้าฟ้าชายอาวุโสของราชวงศ์จักรี ระหว่างทางของการเดินเล่น K ได้ขอให้หญิงในวังที่เฝ้าสระเด็ดดอกบัวในสระให้ หญิงดังกล่าวเด็ดดอกบัวส่งผ่านเปรมซึ่งคุกเข่า และยื่นดอกบัวส่งต่อให้ K อีกทอดหนึ่ง K รับดอกบัวไปจ้องมองก่อนส่งคืนอย่างนุ่มนวลให้เปรม<br /><br /><br /><br />แน่นอนว่า ภาพดังกล่าวตกเป็นข่าวทางทีวีและตามหน้าหนังสือพิมพ์ และการสนับสนุนเปรมของ K ผ่านทางสัญลักษณ์ทางu3624 ศาสนาก็เป็นที่รับรู้ของประชาชนอย่างง่ายดาย นั่นคือ ดอกบัวในทางศาสนาพุทธ เปรียบเสมือนความบริสุทธิ์และการตรัสรู้ ดอกไม้ชนิดนี้ปรกติใช้สำหรับบูชาพระส่วนหญิงในวังผู้ซึ่งเด็ดดอกบัวยื่นให้เปรม ตระหนักว่า เปรมเป็นบุคคลที่ทรงเกียรติพอ ที่จะส่งต่อดอกบัวให้กับ K ท่าทีการถือดอกบัวของ K ตลอดจนการจ้องมองอย่างพินิจของเขา เปรียบเสมือนการแสดงตนคล้าย ดังพระพุทธเจ้าที่เต็มไปด้วยกรุณาคุณ และการที่ K ส่งดอกบัวต่อให้เปรม ก็เป็นการยืนยันถึงบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ของเปรม เช่นเดียวกัน<br /><br /><br /><br />ในที่สุด K ก็หายป่วย และเปรมยังครองอำนาจในการผู้นำอย่างเข้มแข็ง ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำทั่วประเทศ ผู้บังคับบัญชาทหาร (พลเอกอาทิตย์) ยังมีความสุขกับการได้รับอนุญาตให้เข้าออกในตำหนัก โดยรอบตัว Q เต็มไปด้วยนายทหารและตำรวจชั้นนายพล ตลอดจนเหล่าภรรยาที่เข้าเฝ้ารับใช้อย่างไม่ขาดสาย แขกที่ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงในวังบ่อยที่สุดคือบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ โดยเหล่านายพลจะผลัดเปลี่ยนกันเต้นรำกับ Q และร้องเพลง ขณะที่K เป่าแซกโซโฟน อย่างไรก็ตาม นักการเมืองและนักธุรกิจแทบ จะไม่เคยได้รับเชิญไปงานดังกล่าว<br /><br /><br /><br />ท่ามกลางความรื่นเริงในวัง รัฐบาลภายใต้การนำของเปรมได้ตอบโต้เสียงติฉินและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ว่าเป็นการกระทำของพวกศัตรู ของชาติและคอมมิวนิสต์ มีกลุ่มนักเรียนทำการประท้วงปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ปลายปี 2525 แต่ถูกกลุ่มกระทิงแดงและลูกเสือชาวบ้าน ข่มขู่บังคับให้หยุดชุมนุม ทั้งนี้ กลุ่มลูกเสือชาวบ้านถูกกล่าวหาว่า มีส่วนพัวพันในการฆาตกรรมนักเรียนซึ่งเป็นผู้นำการประท้วงต่อต้านการขึ้นค่ารถเมล์ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์<br /><br /><br /><br />ในยุคของเปรม รัฐบาลตกอยู่ใต้อำนาจของสถาบันทหารอย่างถาวรภายใต้การนำของ Kดังจะเห็นได้จากส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ 2521 ที่ให้ทหารมีอำนาจครอบงำวุฒิสภาชิกสภาและอนุญาตให้นายทหารสามารถรับตำแหน่งทางการเมือง โดยไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2526 หลังจากที่อำนาจของรัฐสภาถูกทำให ้ลดลงและข้าราชการพลเรือน-ทหารถูกห้ามใม่ให้เข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ในขณะเดียวกัน พรรคการเมือง พรรคเล็กพรรคน้อยถูกผลักดันให้มีการรวมตัวเป็นพรรคใหญ่ พรรคเดียว เพื่อแก้u3611 ปัญหารัฐบาลผสมที่ขาดเสถียรภาพและการ ปฎิบัติหน้าที่ไม่ค่อยได้ผล ในทางปฏิบัติ การเมืองแบบพรรคเล็กพรรค์น้อยเป็นผลดีต่อเปรม ผู้ซึ่งคอยยุให้พรรคการเมืองตีกันเอง โดยมีในวังสนับสนุนการกระทำดังกล่าว ในเดือนมกราคม 2526 เปรมได้ทำให้โครงสร้างเฉพาะกาลกลาย เป็นสิ่งถาวรผ่านทางการแปรญัตติรัฐธรรมนูญ ครั้งหนึ่ง เปรมเจอการต่อต้านอย่างหนักโดยไม่คาดหมายจากรัฐสภา และแม้กระทั่งจากกลุ่มนายพลหทารหัวก้าวหน้า ผู้ช่วยของเปรมขณะนั้น พลเอกพิจิตรกุลละวานิชย์ แนะนำเปรมว่า อาจจะมีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก ถ้ากองทัพไม่มีที่ไม่มีทางในรัฐบาล<br /><br /><br /><br />ด้วยการสนับสนุนเปรม K ได้ประกาศให้มีการประชุมสมัยพิเศษขึ้นเพื่อการแปรญัตติรัฐธรรมนูญ การแปรญัติติผ่านไปอย่างง่ายดายในวาระที่ 1 และวาระที่ 2 อาศัยความเห็นชอบของเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากทั้งสองสภา แต่ในวาระที่ 3 ที่จัดขึ้นในวันที่ 16 มีนาคม 2526 นั้น 2 ใน 3ของการออกเสียงเสนอให้การแปรญัตติตกไป<br /><br /><br /><br />อย่างไรก็ตาม เปรมมีอีกแผนหนึ่งซึ่งต้องการความเหมาะเจาะในเรื่องของช่วงเวลาที่จะทำให้สังคมเห็นว่า K ให้การสนับสนุนตนอย่างชัดเจน ช่วงเปลี่ยนรัฐบาลยุติในวันที่ 21 เมษายนโดยเปรมให้ขอร้องให้ K ยุบสภาในวันที่ 19 มีนาคม (At Prems’ request the king dissolved parliament on March 19, p.284, Hanley 2006) และกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 18เมษายน หมายความว่า รัฐบาลใหม่ต้องก่อตั้งภายใต้กฎหมายเดิม มีอายุได้นาน 4 ปี และอำนาจของทหารในทางการเมืองยังดำรงอยู่ต่อไป<br /><br /><br /><br />ในช่วงการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์และพรรคกิจสังคมได้ใช้สองประเด็นเป็นตัวชูโรงในการหาเสียงกับประชาชน นั่นคือ ระหว่างประชาธิปไตย และเผด็จการทางทหาร ประชาชนจะเลือกฝ่ายไหน และประเด็นแอบแฝงก็คือ K สนับสนุนเปรม อย่างไรก็ดี ต้องขอบคุณคะแนนเสียงจากชนบท เมื่อการนับคะแนนสิ้นสุด ผู้ชนะการเลือกตั้งโดยครองเก้าอี้ในสภามากที่สุดคือพรรคชาติไทยของประมาณ อดิเรกสาร และชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งมีภาพพจน์ของการทุจริตและมีความเชื่อมโยงกับฝ่ายขวาที่ใช้ความรุนแรงในปีพ.ศ.2519 ขณะที่ภาพพจน์ของประมาณเป็นปัญหาต่อการเป็นผู้นำประเทศ เปรมที่ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ได้ใช้ประโชยน์จากความหวาด กลัวภาพลักษณ์ของประมาณ(ของสังคม-ผู้แปล) กดดันพรรคการเมืองใหญ่ๆ ฝ่าu3618 ยตรงข้ามประมาณให้สนับสนุนตน และผลักดันพรรคชาติไทยไปเป็นฝ่ายค้าน<br /><br /><br /><br />เปรมแสดงให้นักการเมืองเห็นว่าเขาจะไม่เคยลืมนักการเมืองที่ให้การสนับสนุนเขา แทนที่จะจัดสรร ตำแหน่งตามลำดับและความเหมาะสม เปรมกลับเลือกคนนอกที่แสดงความ จงรักภักดีต่อเปรมมาเป็นรัฐมนตรี แล้วเปรมก็เดินหน้าสร้างความชอบธรรมในการสร้างระบบ วัง-กองทัพต่อไปภายใต้สโลแกนที่ว่า “กองทัพจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องประเทศ, เสรีภาพของชาติ,และ ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”.<br /><br /><br /><br />K แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาสนับสนุนเปรมในการเคลื่อนไหวในแต่ละเรื่อง ในวันคล้ายวันเกิด (5 ธันวาคม) ปีพ.ศ.2526 จากเวลา 45 นา ทีที่ K ออกมาพูด มีหลายส่วนในคำพูดของ Kที่แสดงให้เห็นว่า K ต่อต้านนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่เป็นพลเรือน ในทางกลับกัน ในคำกล่าวทั้งหมดไม่มีส่วนใหนคัดค้านเปรมและการเป็นผู้นำทางการทหาร Kตำหนิเจ้าหน้าที่และนักการเมืองในการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างงี่เง่า ปล่อยให้พื้นที่กรุงเทพส่วนใหญ่จมน้ำอยู่หลายสัปดาห์ K แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลุ่มนักการเมืองและข้าราชการพลเรือนเหล่านี้ไร้ความสามารถ ต่างจากกลุ่มนายทหาร<br /><br /><br /><br />ในการกลับมาอยู่ในตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง เปรมยังคงปกป้องและส่งเสริมสถาบันกษัตริย์อย่างต่อเนื่อง เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการ ปกปิดจุดด่างพร้อยต่างๆ ของครอบครัว K ซึ่งนับเป็นงานที่ยากสาหัส ทันทีที่เปรมเข้ารับตำแหน่งในปี พ.ศ. 2523 เขาได้รื้อฟื้นโครงการก่อสร้างอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 ที่รัฐสภา ซึ่งริเริ่มให้ก่อสร้างในสมัยธานินท์ กรัยวิเชียรในปีพ.ศ.2519ทั้งนี้เพื่อให้เป็น สัญลักษณ์ว่าราชบังลังก์สนันสนุนความเป็นประชาธิปไตย มีการเฉลิมฉลองอนุสาวรีย์ ในวันรัฐธรรมนูญของปีพ.ศ.2523 และมีโครงการจะเปลี่ยนชื่อวันนั้นเป็นวันประชาธิปกตามชื่อรัชกาลที่ 7 อย่างไรก็ดี ความคิดดังกล่าวล้มเลิกไป ในช่วงเวลาเดียวกัน โครงการอนุสาวรีย์ของกลุ่มบุคคล (ใ นปี 2475-ผู้แปล) ที่ทำการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ถูกรัฐบาลคัดชื่อออกไปจากบัญชีรายการมรดกแห่งชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยับยั้งไม่ให้อนุสาวรีย์นี้u3606 ถูกสร้างขึ้น<br /><br /><br /><br />นั่นคือ รัฐบาลเปรมต้องการลบล้างความทรงจำของคนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เวลาผ่านไปกว่า 50 ปี จึงมีผู้คนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังคงจำเรื่องราวความจริงของวันที่ 24 มิถ ุนายนได้ นอกจากนี้ เปรมยังต้องรับภาระในการจัดการเรื่อง ของอดีตผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2 ท่าน ได้แก่ ปรีดี พนมยงค์ และพระพิมลธรรม ในขณะที่เปรมครองอำนาจ ปรีดีอาศัยอยู่ที่กรุงปรารีส และมีอายุ 80 ปี หลังจากที่ลี้ภัยจากประเทศไทยไปเมื่อ 30กว่าปีที่แล้ว ครอบครัวและมิตรสหายของ ปรีดีได้ยื่นฎีกาต่อ K ให้อนุญาตปรีดีกลับมาไทยโดยร้องขอความปรานีและการอภัยจาก K แต่ในวังกลัวว่า ปรีดียังคงเป็นอันตรายทาง การเมือง(อันจะกระทบถึงความมั่นคงต่อรัฐบาลทหารของ K-ผู้แปล) นอกจากนี้ ปรีดียังเป็นวีระบุรุษของนักศึกษาในทศวรรษ 2500 อีกทั้งลูกศิษย์ลูกหาของปรีดีมากมายได้เป็นครูบาอาจารย์ และเป็นใหญ่เป็นโตในระบอบราชการปัจจุบัน<br /><br /><br /><br />เปรมได้แก้ปัญหาดังกล่าวให้กับ K ด้วยการสร้างข่าวว่า ปรีดีสามารถกลับไทย และในวังไม่ได้ติดใจว่าปรีดีปลงพระชนน์รัชกาลที่ 8 อย่างไรก็ดี การอนุญาตอย่างเป็นทางการไม่เคยเกิดขึ้นแต่ผู้ที่เกี่ยวข้อง (รวมทั้ง K) ไม่ถูก(สังคม)ตำหนิว่าไม่มีความเป็นธรรมต่อปรีดี ปรีดีเสียชีวิตในกรุงปารีสในวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 การตายของปรีดีได้เผยให้เ ห็นความอาฆาตแค้นของในวังต่อปรีดี หลังจากที่ปรีดีเสียชีวิต ร่างของเขาถูกส่งกลับมายังบ้านเกิดในประเทศไทยเพื่อทำพิธีปนญา นกิจศพ ในวังปฎิเสธการเป็น เจ้าภาพในพิธีเพลิงศพปรีดี ผิดกับปกติที่ทางวังจะส่งตัวแทนมาเป็นเจ้าภาพในพิธีงานศพของผู้นำรัฐบาลคนก่อนๆ ทุกครั้ง ยกเว้นงานเพลิงศพของจอมพลพิบูลย์สงคราม<br /><br /><br /><br />บทบาทของผู้นำอีกคนที่สร้างความปวดหัวให้กับเปรม คือ พระพิมลธรรม หลังจากได้รับการขับออกจากการเป็น สมณเพศและถูกจำคุกโดยข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริงของสฤษดิ์ ในต้นทศวรรษ 1960 พระพิมลธรรมยังคงมีบทบาทในทศวรรษ 1970 ในช่วงปลายปีพ.ศ. 2523เจ้าอาวาสวัดมหาธรรมถึงแก่อาสัญกรรม และพระลูกวัดได้โหวตให้พระพิมลธรรมเข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาส อย่างไรก็ตาม ทางวังและราชา คณะสงฆ์ (มหาเถระสมาคม) ไม่รับรองการแต่งตั้งให้พระรูปใดขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสวัดที่สำคัญที่สุดขu3629 องประเทศ หลังจากนั้น 9 เดือน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณะและการข่มขู่จะทำการประท้วงของพระ ได้ผลักดันให้มหาเถรสมาคม จำต้องยอมให้พระพิมลธรรมเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุรูปต่อไป<br /><br /><br /><br />เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในระบบของมหาเถระสมาคม ตำแหน่งสูงสุด คือ สมเด็จซึ่งจะมอบให้กับพระชั้นสูง ที่มีอาวุโสสูงสุดทั้งด้านวัยวุฒิและคุณวุฒิ ตำแหน่งสมเด็จนี้ มี 6ตำแหน่ง และสมเด็จหนึ่งในหกตำแหน่งนี้จะได้รับเลือกเป็นสมเด็จพระสังฆราช อันเป็นตำแหน่งสูงสุดของมหาเถระสมาคม ตำแหน่งรองสมเด็จ มี 12 ตำแหน่ง โดย K จะเป็นผู้พระราชทานตำแหน่งใหักับสมณะเจ้าทั้งหมดนี้ ภายใต้คำแนะนำจากสภามหาเถระสมาคม และกรมการศาสนาในวันที่ 5 ธันวาคม<br /><br /><br /><br />พระพิมลธรรมอยู่ในอันดับรองสมเด็จในทศวรรษ 1950 ต่อมา สฤษด ิ์ได้ถอดตำแหน่งของพระพิมลธรรมออกไป แต่ได้รับตำแหน่งคืนในปีพ.ศ. 2518 พระพิมลธรรมมีคุณสมบัติครบถ้วนต่อการรับตำแหน่งสมเด็จในสภามหาเถระสมาคม แต่ถูกในวังขัดขวางจนไม่ได้รับตำแหน่ง ต่อมาหนึ่งในหกสมเด็จพระเถระ สวรรคตในปีพ.ศ. 2526 มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องให้มอบตำแหน่งสมเด็จให้แก่พระพิมลธรรม ซึ่งจริงๆ แล้ว พระพิมลธรรมมีคุณสมบัติมากกว่าพระรูปอื่นๆ และท ่านเป็นรองสมเด็จที่อาวุโสกว่าพระอีกสองรูป ที่เข้ารับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชไปก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว สภาคณะสงฆ์ภาคอิสาน (Isan sangha council) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในการสนับสนุนพระพิมลธรรมขึ้นสู่ตำแหน่งสมเด็จพระเถระ<br /><br /><br /><br />เปรมและในวังมีปฏิกริยาตอบสนองต่อเสียงเรียงร้องดังกล่าวด้วยการรื้อฟื้นข้อกล่าวหาว่าพระพิมลธรรม เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ, สถาบันกษัตริย์, และสถาบันสงฆ์ แท้จริงแล้วเปรมและในวังกังวลใจว่าพระพิมลธรรมจะได้รับเลือกขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช หากท่านได้รับแต่งตั้งเป็นหนึ่งในหกสมเด็จพระเถระ เนื่องจากสมเด็จพระเถระที่ด้อยอาวุโสกว่าถูกตระเตรียมไว้แล้ว (โดยเปรมและทางในวัง) เพื่อให้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไป นั่นคือพระญาณสังวร ซึ่งเป็นพระที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณของ K<br /><br /><br /><br />กรณีของพระพิมลธรรมก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นต่อการกลับมาของปรีดี มีประเด็นที่ถ ุกหยิบยกมากล่าวถึงในเครือข่ายลับระหว่างวัง, สภาสงฆ์, และรัฐบาล และอุบัติเหตุถูกนำมาใช้เป็นอุบายกีดกันการแต่งตั้งพระพิมลธรรมเป็นสมเด็จ เริ่มจากทางสภาสงฆ์ สืบเนื่องจากการที่หัวหน้า คณะสงฆ์ภาคอีสาน ได้เสนอชื่อพระพมนธรรมเข้าชิงตำแหน่งในวันที่ 20 พฤศจิกายน ก่อนจะถึงวันคล้ายวันเกิดของ K แปดวัน หลังจากการเสนอชื่อ สมเด็จพระสังฆราชได้ขอให้กรมการศาสนาเสนอการแต่งตั้งสมเด็จพระเถระในตำแหน่งที่ว่างลงเข้าสู่สภาสงฆ ์เป็นท ี่แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นและได้รับการอธิบายภายหลังว่า เนื่องจากจดหมายของสมเด็จพระสังฆราชที่บรรจุคำร้องดังกล่าวหายไป นี่เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ เพราะเรื่องสำ คัญแบบนี้ไม่ควรจะสูญหาย เปรียบเสมือนเป็นการทำคำสั่ง (ที่จะแต ่งตั้งสมเด็จพระเถระ) ของ K หายไปเลยทีเดียว แน่นอนว่าเหตุการณทั้งหมดนี้ Kมีส่วนรู้ร่วมเห็น และโดยไม่ต้องสงสัย พระพิมลธรรมไม่ได้รับแต่งตั้ง เป็นสมเด็จพระเถระหนึ่งในหกในวันที่ 5 ธันวาคมของปีนั้น<br /><br /><br /><br />ในกลางปีพ.ศ. 2527 สมเด็จพระเถระอีกองค์หนึ่งสรรคต ทำให้มีตำแหน่งสมเด็จว่างลงสองตำแหน่ง (รวมหนึ่งตำแหน่งที่ว่าง อยู่ก่อนหน้านี้เพราะ พระพิมลธรรมไม่ได้รับการแต่งตั้ง)และเป็นอีกครั้งที่วันเกิดของ K ผ่านไปโดยไม่ได้มีการแต่งตั้ง พระรูปใดขึ้นเป็นสมเด็จพระเถระทั้งที่การแต่งตั้งพระอันดับสูงทั้งสิบตำแหน่งถือเป็นสิทธิประโยชน์ที่สำ คัญของ K ในการสร้างความเป็นสิริมงคล ให้กับตัวเองแต่กลับละเลย จึงเป็นเรื่องชัดเจนว่า การที่ K งดเว้นการแต่งตั้งสมเด็จพระเถระ ในสองปีที่ผ่านมา เนื่องจากเขาไม่ต้องการแต่งตั้งพระพิมลธรรมขึ้นเป็นหนึ่งในสมเด็จพระเถระ ในขณะนั้น พระพิมลธรรมอายุ 83 ปีแล้ว และในวังหวังง่ายๆ ว่า พระพิมลธรรมจะตายในเร็ววันนี้เหมือนกับปรีดี ปีพ.ศ.2528 จึงผ่านไปอีกปีโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในมหาเถระสมาคม ในขณะที่ พระอันดับสูง 17 รูป จากสภาสงฆ์อิสานได้ขู่ว่าจะคืนยศและตำแหน่งใหักับสภาสงฆ์ การกระทำดังกล่าวเป็นการหมิ่นและ สร้างความอับอายครั้งมโหฬารให้กับสภาสงฆ์ ในที่สุด K จำต้องแต่งตั้งพระพิมลธรรมเป็นหนึ่ง ในสมเด็จพระเถระใน วันคล้ายวันเกิดของเขาต่อมาตำแหน่งสมเด็จที่ว่างอีกตำแหน่งตกเป็นของพระอนุรักษ์นิยมอีกรูปหนึ่ง ในความเป็นจริง พระพิมลธu3619 รรม แก่เกินไปที่จะก่อปัญหาใดๆ ให้กับในวัง และท่านสวรรคตใน 2-3 ปีต่อมา และ พระญาณสังวร ก็ไร้คู่แข่งในการขึ้น เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไป<br /><br /><br /><br />หลังจากเปรมได้จัดการเก็บพยานรู้เห็นอดีตอันน่าเกลียด (ของ K และราชวงศ์) จนหมดเกลี้ยงเขาก็ไม่ต้องใช้ความสามารถ มากมายอะไรนักในการรณรงค์ส่งเสริม K และวัฒนธรรมเจ้า เริ่มจากการกระทำตัวเองให้เป็นตัวอย่างที่ดี เปรมเข้าเฝ้าขอคำปรึกษาจาก K อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งในตำหนัก โดยการหมอบกราบ คลานเข่า และการพูดจาแบบสำรวมเจียมเนื้อเจียมตัว ในขณะที่ผู้นำรุ่น ก่อนเปรมสวมชุด ข้าราชการทหารและชุดสากลแบบตะวันตก เปรมกลับสวมใส่ผ้าใหมชุดพระราชทาน ซึ่งเป็นแฟชั่นสมัยรัชกาลที่ 5 แต่คนไทยส่วนหนึ่งกลับเข้าใจว่าชุดพระราชทานออกแบบในยุคของ K ปัจจุบัน หลังจากนั้น การแต่งกายของเปรมก็เป็นแม่แบบของพวก ขุนนาง,นักการเมือง, และนักธุรกิจ ที่เข้าเฝ้า K และ Q นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับเอาชุดพระราชทานเป็นส่วนหนึ่ง ของเครื่องแบบแต่งในที่ทำงาน ในสังคมชั้นสูง และกลุ่มผู้ทะเยอทะยานอยาก ทั้งหลายได้แข่งขันกันบริจาคเงินในกับราชวงศ์ และเข้าร่วมงานต่างๆของเจ้า พวกเขาต่างแสวงหาที่จะมีส่วนร่วมในสังคมชั้นสูง โดยได้รับการดูแลจากเปรม และมีศูนย์กลางส่วนหนึ่งที่โรงแรง ดุสิตธานีโรงแรมนี้กลายเป็นสถานทีจัดงานเพื่อการกุศลของราชวงศ์ ทั้งยังมีภัตตาคารที่เป็นที่ชื่นชอบของQ, เปรม, และกลุ่มผู้หญิงชาววัง ด้วยเหตุนี้ โรงแรมดุสิตจึงกลายเป็นสถานที่สำหรับนักธุรกิจ,นักการเมือง, นายพล,และเหล่าภรรยามาชุมนุมและทำธุรกิจไปด้วยปริยาย<br /><br /><br /><br />เปรมให้การรับรองครอบครัวราชวงศ์ในเกือบทุกสถานที่เท่าที่จะเป็นไปได้ เขาตอบสนองข้อเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ของราชวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก Q ในการรณรงค์ส่งเสริมความชื่นชมราชวงศ์ของ ทหารและข้าราชการพลเรือน และการในคำแนะนำเกี่ยวกับการกระทำสัญญาต่างๆ ของรัฐบาล ในขณะ เดียวกัน เปรมได้ใช้เ งินหลวงในการก่อสร้างวังต่างๆ ให้กับครอบครัวราชวงศ์ รวมถึงพระราชตำหนักของแม่ของ K บนยอดดอยเต่า จ. เชียงรายที่ย้ายจาก สวิตเซอร์แลนด์มาอยู่ในประเทศ ไทยอย่างถาวรในปลายทศวรรษที่ 1980 นอกจากนี้เปรมได้คัดรายชื่อสถานประกอบการของรัฐ อาทิเช่น สายการบินไทย, องค์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย, เพื่อให้กลุ่มธุรกิจเหล่านี้โฆษณาและ เฉลิมฉลองราชบังลังก์ ด้วยความช่วยเหลือจากภาคธุรกิจ ทุกๆวันหยุด และแม้กระทั่งวันหยุดที่เคร่งครัดทางศาสนา ก็กลายเป็นวันรณรงค์ส่งเสริมราชวงศ์ไปด้วย กิจกรรมของครอบครัวมหิดลถูกถ ่ายทอดอย่างถี่ยิบ ทางทีวีและวิทยุ วันเกิดของ K และ Q ได้รับการรณรงค์ส่งเสริมให้เป็น วันพ่อและวันแม่แห่งชาติ ตามลำดับ<br /><br /><br /><br />สถาบันกษัตริย์ม ่งความสนใจต่อการเฉลิมการครบรอบสองร้อยปีกรุงรัตนโกสินทร์ในปีพ.ศ.2525 ขณะที่ชุมชนดั้งเดิมและประชาชน ในกรุงเทพส่วนใหญ่ให้ความสนในเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยสีสรรของงานนี้คือ การนำเอาพระราชพิธีแห่เรือสุพรรณหงส์มาจัด ซึ่งแต่เดิมจะจัดขึ้นเฉพาะในเทศการกฐินพระราชทานที่วัด อรุณ แต่ในปัจจุบันได้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองสถาบันกษัตริย์และโฆษณานักท่องเที่ยว ในงานเฉลิมฉลอง กรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยปี มาพร้อมกับสิ่งมหัศจรรย์ที่บ่งชี้ความโชติช่วงชัชวาลย์ของราชวงศ์จักรี ม.ร.ว.ทองน้อย ทองใหญ่ ผู้ช่วยของ K กล่าวว่าในวันครบรอบสองร้อยปีกรุงรัตนโกสินทร์ในวันที่ 5 เมษายน เวลา 11:00 น. พระอาทิตย์ได้สาดแสงส่องทะลุ ผ่านเมฆ มีรัศมีทรงกลด ซึ่งตรงกับที่พระทำนายไว้ และสิ่งเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นทุกๆรอบสองร้อยปีก่อนหน้านี้<br /><br /><br /><br />ผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็เกาะติดราชวงศ์เช่นกัน นิตยสารเอเชียวีค เขียนข่าวว่า ราชวงศ์จักรีได้สร้างคนรุ่นต่อไป ของสถาบันที่มีคุณลักษณะ ยอดเยี่ยม คือ K ปัจจุบัน ที่นำประเทศไทยให้ก้าวลุล่วงวิกฤตการณ์ร่างรัฐธรรมนูญ (การเปลี่ยนระบอบการปกครอง จากระบอบ สมบูรณายาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย) นิตยสารดังกล่าวหยิบยกวิกฤตการณ์ในปีพ.ศ. 2516 และ 2524มาอ้างถึง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองเหตุการณ์นี้ไม่ไช่วิกฤตการณ์การ ร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่เหตุการณ์ที่เป็นวิกฤตการณ ์ร่างรัฐธรรมนูญอย่างที่แท้จริงท ี่เกิดขึ้นในเดือนตุลาปีพ.ศ. 2519 กลับไม่ได้เอ่ยถึงนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคเสนอบทความยาว เหยียดโดยไม่ยอม กล่าวถึงการทำรัฐประหารของทหาร และกล่าวว่า K และสถาบันพุทธศาสนาเป็นผู้ก่อสร้างชาติ ในบทสัมภาษณ์ K กล่าวว่า“การพัฒนาของประเทศไทยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ มองหาสิ่งที่ดีของอดีต ขนบธรรมเนียมประเพณีได้เปลี่ยนแปลงตามเวลา นี่เป็นบทเรียน ที่เราใช้ประเพณีอันเก่าแก่และปรับปรุง ให้สามารถใช้ได้ในปัจจุบันและในอนาคต”.<br /><br /><br /><br />อย่างประชดประชัน, อาจเป็นเพราะการให้ความสำคัญกับประเพณีอันเก่าแก่ในอดีตของ K,นิตยสารจีโอกราฟฟิคในฉบับเดียวกัน ได้ตี พิมพ์เรื่องปกเกี่ยวกับ ผลกระทบของวิวัฒนาการของชิ้นส่วนซิลิคนต่อชีวิตของประชาชน<br /><br /><br /><br />ความตายและการเจ็บป่วยบางครั้งก็กลายเป็นสิ่งรณรงค์ส่งเสริมราชบังลังก์ได้เช่นเดียวกันการเจ็บป่วยของ K ในปีพ.ศ. 2525 รัฐบาลและทหารได้ส่งเสริมให้สาธารณะชนแสดงความจงรักภักดี นำทีมโดยกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กรมการศาสนาได้จัดพิธีทางศาสนา การนั่งสมาธิเป็นกลุ่มเพื่อK บางกลุ่มนำทีมโดยสมเด็จพระสังฆราช ความปรารถนาดีเป็นห่วงเป็นใยส่งมาจากทุกมุมโลกถูกตีพิมพ์ เผยแพร่ เพื่อชี้ให้ประชาชนเห็นว่า K เป็นธรรมราชาที่ได้รับการเคารพจากสากลโลก<br /><br /><br /><br />เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี(มเหสีของของรัชกาลที่ 7) สิ้นพระชนม์ในเดือนพฤษภาคม2527 เปรมได้ขยายเวลาไว้ทุกข์จาก 100 วันไปเป็น 11 เดือนทั่วประเทศ รัฐบาลจ่ายเงินไปหลายล้านเหรียญสหรัฐ ในการจัดพิธีเพลิงศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีนเดือนเมษายน 2528พระเมรุที่เผาศพสูง 29 เมตร และตลอดความยาว 3 กิโลเมตรจากวังถึงพระเมรุตกแต่งด้วยราชรถสีแดงและสีทองเพื่อบรรทุก ที่บรรจุพระศพซึ่งตกแต่งด้วยเพชรนิลจินดา มีขบวนทหารเป็นพันตามด้วยวงโยทวาธิตมาในชุดแต่งกาย ราชวงศ์จักรี ตอนต้น ภาพที่ปรากฎจากการถ่ายทอดสดทางทีวีตระกูลมหิดลนำราชวงศ์จักรีเป็นร้อยร่วม ในขบวนพิธี ในระหว่างนั้นมีการยิงปืนใหญ่ 300 นัดขึ้นฟ้า<br /><br /><br /><br />การบำเพ็นตนในเป็นประโยชน์ต่อราชวงศ์ของเปรมก่อให้เกิดการขยายตัวอย่างมโหฬารของการพัฒนาโครงการหลวง สิ่งเหล่านี้ได ้กลายเป็นตัวบ่งชี้ K โดยผ่านการช่วยเหลือของเปรมผลงานจากโครงการ ต่างๆ ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ได้กลายเป็นสิ่งที่ประชาชน ใช้ในการให้คำจำกัดความ K ของเขา (นั่นคือเป็นพระราชาที่ทำงานหนักเพื่อประชาชน-ผู้แปล)ใ นปีพ.ศ. 2523 K ได้ก่อตั้ง 200-300 โครงการเพื่อการกุศล รวมถึงมูลนิธิชัยพัฒนา โครงการเหล่านี้มีความสำคัญต่อภาพพจน์ของ K มีการเผยแผ่ภาพถ่ายทางทีวี อย่างดีที่แสดงให้เห็นว่า Kทำงานหนักตรากตำ เดินบุกๆป่าฝ่าเขา มีกล้u3629 องแคนนอนคล้องคอ ถือแผนทีและสมุดโน้ตในมือ ขณะซักถามชาวบ้านและเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับปริมาณ น้ำท่า, น้ำฝน, และการทำเกษตรกรรมผู้ช่วยของ K กล่าวให้ฟังอย่างมหัศจรรย์ใจ ว่าทำไมเพียงแค่ K ดูแผนที่ ก็สามารถเข้าใจสภาพภูมิประเทศและศักยภาพของแหล่งน้ำได้ทันที เหมือนกับการที่รัชกาลที่ 4 สามารถทำนายการเกิดสุริยคลาส ซึ่งอัฉริยะเท่านั้นถึงจะทำได้<br /><br /><br /><br />อย่างไรก็ตาม K ยังคงผิดหวังที่รัฐบาลไม่ใช้ความสำเร็จของเขาในระดับชาติ ในปี พ.ศ. 2524มีการเสวนาเกี่ยวกับการเกษตรกรรม ในภาคเหนือของไทย K วิจารณ์ว่า กลุ่มข้าราชการและผู้เชี่ยวชาญการ พัฒนาประเทศไม่ สนใจสิ่งที่เรียบง่ายและเป็นทางออก ที่ไม่แพงต่อปัญหาของชาวนา ที่เขาได้ริเริ่ม วิธีการของข้าราชการไม่มีประโยชน์ เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ไม่ชัดเจนและไม่ถูกต้อง ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเพราะข้าราชการไม่เคยฟังเสียงชาวไร่ชาวนา โดย K กล่าวว่าชาวบ้านพวกนี้ฉลาดกว่าที่ทุกคนคิด<br /><br /><br /><br />ด้วยการใช้โครงการของตัวเองเป็นแม่แบบ K ได้สอนให้สาธารณะชนรู้ว่าการทำงานของข้าราชการไร้ผล ตัวอย่างเช่น เขาอธิบายว่า โครงการน้ำหมู่บ้านเล็กๆใช้เวลาเพียง 2-3 วัน และเงินไม่กี่พันบาทก็จัดการได้ ขณะที่โครงการของรัฐบาลต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ และแพงกว่าสิบเท่าK ไม่พอใจมากที่ทุกวันเขาได้รับจดหมายร้องทุกข์จากชาวบ้านที่ขาดแคลนน้ำและถนนหนทาง Kต้องการทั้งกำลังคนและเ งินจำนวนมากกว่าที่ได้รับจากการบริจาคเพื่อจะช่วยเหลือคนเหล่านี้<br /><br /><br /><br />เปรมได้ตอบสนองความต้องการของ K โดยออกคำสั่งให้รัฐบาลสนับสนุนโครงการของ Kอย่างเต็มที่ทั้งด้านกำลังคนและกำลังเงิน อะไรก็ตามที่เป็นความต้องการของ K ต้องจัดความสำคัญให้เป็นอันดับต้นเหนือโครงการเร่งด่วนอื่นๆ มีการก่อตั้งโครงการพระราชดำ ริขึ้นมา โดยมีเปรมเป็นประธาน ในพ.ศ. 2524 โครงการพระราชดำริได้ทำโครงการพัฒนาคณะกรรมการภายในสำนักงานการวางแผน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้ K เปรียบเสมือนหัวหน้าการพัฒนาและสร้างความพึงพอใจให้แก่ K<br /><br /><br /><br />โครงการหลวงหลายโครงการอยู่ภายใต้การดูแลของสุเมธ ตันติเวชกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และความมั่นคงแห่งชาติ และเป็นที่ปรึกษาของ K ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1960 สุเมธทำงานเกี่ยวกับการวางแผนกรมกอง ของข้าราชการเพื่อความพร้อมในการผจญกับ ปัญหาภัยธรรมชาติและสงคราม เขาใช้เวลาส่วนหนึ่งในเวียดนามเพื่อศึกษาเครือข่ายที่เข้มแข็งที่เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่าง ความไม่พอใจของชนบทและการก่อการร้าย อันส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม งานของสุเมขจัดเป็นส่วนหนึ่งของ คณะกรรมการโครงการพระราชดำริ (Royal ProjectDevelopment Board:RPDB) เพื่อรับใช้ K และครอบครัวราชวงศ์ สุเมธอธิบายในภายหลังถึงหลักการทำงานว่า เป็นการใช้ตัวอย่างของการเข้าแทรกแซงขององค์กรเมื่อระบบราชการเป็นอุปสรรคต่อ ความพยายาม ของในวังที่จะให้ชาวไร่-ชาวนาเข้าใช้ประโยชน์ในท ี่ดินรกร้างว่างเปล่าของรัฐ<br /><br /><br /><br />เมื่อ RPDB เข้าที่เข้าทาง การใช้จ่ายของโครงการหลวงก็เพิ่มข ึ้นมากมาย โดยเงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากภาครัฐ โครงการส่วนใหญ่มี ลักษณะคล้ายคลึงกัน อาทิเช่น การวิจัยด้านพืชพันธ์,โครงการผันน้ำต่างๆ ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่, การฝึกอบรมหมอ, การบริการด้านการแพทย์เปรมใช้งบประมาณในการก่อตั้ง หกศูนย์กลางของโครงการหลวงขึ้นในประเทศ ในแต่ละที่กินพื้นที่หลายพันเ อเคอร์ (1 เอเคอร์ = 4046.86 ตารางเมตร) ซึ่งส่วนมากจะอยู่ใกล้วังของ K ในแต่ภูมิภาคในแต่ละที่จะมีพนักงานของศูนย์ทำการทดลอง พันธุ์พืชและสัตว์เพื่อการเกษตรกรรมและการปศุสัตว์งานที่ทำจะมีลักษณะแตกต่างเพียงเล็กน้อยจากการทำวิจัยในกระทรวงต่างๆ และในมหาวิทยาลัย<br /><br /><br /><br />K มีความคิดใหม่ๆ หลายเรื่อง เช่น การผลิตก๊าสชีวภาพ, การทำน้ำผลไม้, การเพาะเห็ด,และการหมักผักตบชวา ทำเป็นปุ๋ยและ การสวนสมุนไพร และไร่หวาย สำหรับโครงการผันและกักเก็บน้ำขนาดเล็ก K ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่ควบคุมดูแลการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนทั่วประเทศ ภาพข้าราชการระดับสูงจากทั้งในโครงการราชดำริและจากการไฟฟ้าฯ ข้างกาย Kจึงปรากฎให้ประชาชนเห็นอยู่บ่อยๆ<br /><br /><br /><br />กองทัพได้กลายเป็นกำลังสำคัญของ K ในโครงการหลวง กองทัพได้ใช้เงินกว่าล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อก่อสร้างศ ูนย์กลางการพัฒนา โครงการหลวงบนเนื้อที่ 21,448,358 ตารางเมตร ใกล้ตำหนักภูพาน และใช้จ่ายเ งินอีกหนึ่งล้านเหรียญเพื่อก่อสร้าง วังขนาดเล็กและศูนย์โครงการฯใกล้เขาค้อ เขาค้อนี่เองที่ K ใช้เป็นแบบจำลองu3649 แนวความคิดของเขา เพื่อกระตุ้นการพัฒนา เศษฐกิจส่งผ่านไปยังพลเอกพิจิตร กุลละวาณิชย์ ผู้ซึ่งผ่านสงครามรบที่เขาค้อ(ระหว่างรัฐบาลไทยและพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย)และรู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี กองทัพได้พัฒนาทรัพยากรน้ำ,แนะนำพันธุ์พืชแก่ชาวบ้าน, และช่วยเหลือชาวไร่-ชาวนา ภายใต้โครงการหลวง การแนะนำให้ชาวบ้านปลูกผัก-ผลไม้เมืองหนาวที่ทำเงิน เช่น แอสแพรากัส (asparagus) และแคนเบอรี่ประสบ ความสำเร็จเป็นอย่างดี หลังจากนั้น งบประมาณของทหารเพื่อโครงการหลวงก็เพิ่มขึ้นและพลเอกพิจิตร ได้ขยายโครงการดังกล่าวเข้าไปสูชายแดนไทย-เขมร<br /><br /><br /><br />ด้วยข่าวโครงการหลวงที่กระจายออกไป ในวังได้รับหนังสือร้องขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านในชนบทเพิ่มขึ้น พนักงานของ K ได้เข้า ไ ปช่วยเหลือเป็นรายๆ ไป และไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือจากในวังโดยตรง (เช่นการช่วยเหลือผู้ป่วย) หรือผ่านไปทางกระทรวง ที่เกี่ยวข้องคำร้องทุกข์ของชาวบ้านต่อ K ได้กลายเป็นขับเน้นให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะและความสามารถของ K ในการช่วยเหลือประชาชน ในขณะที่ความเป็นจริงก็คือ ยิ่งมีงานของ K ที่ได้สั่งมาทางเปรมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายของรัฐบาลเปรมมากขึ้นเท ่านั้น และในขณะที่เดียวกัน ประชาชนก็ยิ่งมองข้ามรัฐบาล โดยยกย่องแต่ K ของเขาเท่านั้นที่เป็นผู้ช่วยเหลือเหลือชาวบ้านให้พ้นทุกข์<br /><br /><br /><br />การเติบโตอย่างทวีคูณของโครงการหลวง ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงว่าโครงการบางส่วนอาจจะดำเนินผิดพลาดและสร้างความอับอายให้แก่ K ได้ ดังนั้นจึงมีการจัดระบบหมวดหมู่โครงการเพื่อป้องกันความผิดพลาดของราชบังลังก์ โดยโครงการที่ริ่เริ่มและติดตามผลโดยตรงโดย K และ Qถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่สูงสุด รองลงมาเป็นโครงการพระราชดำ ริ ภายใต้การดูแลของรัฐบาล,หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง, และกลุ่มประชาชน การจัดระบบแบบนี้ ส่งผลให้ราชลังก์ได้จะได้รับแต่การยกย่องชมเชยในความสำเร็จของโครงการส่วนหนึ่ง ในขณะที่ความล้มเหลว ของโครงการอื่นๆ รัฐบาล หรือผู้รับผิดชอบอื่น ก็รับไป (ตรงกับคำกล่าวที่ว่า ..K can do no wrong..นั่นคือรับแต่ชอบ แต่ไม่รับผิด)<br /><br /><br /><br />มีสองโครงการที่เป็นตัวแทนมุมมองของ K เกี่ยวกับวัฒนธรรม, เศรษฐศาสตร์, และการพัฒนาจากแนวคิดในแบบจำลอง “วัดพัฒนาหลวง” (royal development temples” เป็นการใช้วัดเป็นศูนย์กลางของประเพณีชุมชน โดยมีพระเป็นผู้ปลูกฝังความดีงาม, ความร่วมมือ, การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, และความขยันหมั่นเพียร สิ่งเหล่านี่อาจจะเป็นหลักของเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่การสร้างผลผลิตเ พื่อการค้าในตลาดใหญ่โต (ระบบทุนนิยม) K เชื่อว่า ชาวบ้านน่าจะมีความสุข ถ้าเขามีพออยู่ พอกินไปปีหนึ่งๆ<br /><br /><br /><br />(วัดที่เป็นแม่แบบได้แก่ วัดธุดงค์ คศาธานถาวรนิมิตร จ.นครนายก ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตร วัดนี้เป็นที่ก่อตั้งโครงการหลวงในปีพ.ศ. 2528 วัดมีพื้นที่ 566,560.4 ตารางเมตร และมีพื้นที่เพียงเล็กน้อยเพื่อกิจกรรมทางศาสนา ด้วยคำแนะนำจากในวังทางวัดได้เปลี่ยนพื้นที่ส่วนที่เหลือเป็นอ่างเก็บน้ำและเพื่อการเกษตรกรรมเพาะปลูกพืชผักหลายชนิด เพื่อการทดลอง, การขยายพันธุ์, และเ ป็นอาหารของหมู่บ้าน โดยพระในวัดเป็นผู้จัดการในผลผลิตส่วนเกินที่เหลือจากหมู่บ้าน<br /><br /><br /><br />โครงการต้นแบบที่สองของ K คือ วัดชุมชนใหม่ในจ.ชลบุรี พื้นที่วัดโดยแรกเริ่มเดิมทีนั้นได้บริจาคให้กับ พระญาณ สังวร (พระที่ปรึกษาทาง จิตวิญญาณของ K) ในปี พ.ศ. 2519 และตั้งชื่อตามว่า วัด ญานสังวราราม วรมหาวิหาร พื้นที่ส่วนใหญ่ของวัด (จากทั้งหมด 4,046,860ตารางเมตร) มอบให้ K ใช้ทำประโยชน์ เมื่อ K ไปเยี่ยมวัดในพ.ศ. 2525 เขาตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่เหล่านั้น เป็นแบบ จำลองสหกรณ์ และศูนย์กลางของการปฎิบัติธรรม<br /><br /><br /><br />สถานที่ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในพื้นที่รกร้าง กันดาร มีชาวบ้านจำนวนน้อยอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง K ได้ใช้เงินหลายสิบล้านบาทในการ พัฒนาแหล่งน้ำและปรับปรุงดิน เพื่อให้สามารถใช้เพาะปลูกได้ผล และเปลี่ยนเป็นศูนย์กลางเกษตรชุมชน ในที่สุดชุมชน, โรงพยาบาล, และโรงเรียนก็เกิดขึ้น ภายใต้การดูแลแนะนำของพระ โครงการนี้ได้รับเงินสนับสนุนส่วนใหญ่ จากการบริจาคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุด ของประเทศ (the kingdom’s richestbusinessmen), ข้าราชการ, และ กลุ่มนายทหาร ที่ได้รับการรบเร้าเชิญชวน (prod) จากเปรมตึกใหญ่ๆ หลายหลังถูกสร้างขึ้น และเปลี่ยนโฉมจากชุมชน เป็นอนุสรณ์สถานของราชวงศ์จักร ีและรัชกาลที่ 9 ในปัจจุบัน ตึกและอนุสาวรีย์ถูกสร้างมากขึ้นเพื่ออุทิศใหักับรัชกาลที่ 7, K, และพ่อ-แม่ของ K<br /><br /><br /><br />เปรมไม่เพียงแต่ส่งเสริมในวังเท่านั้น เขายังปกป้องด้วย เปรมควบคุมคำวิพากวิจารณ์ผ่านการเลือกใช้ประโยชน์ ของกฎหมายหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ (lèse-majesté law) ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ เพียง K, Q, รัชทายาทที่จะครองบังลังก์ต่อไป, และผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ไม่สามารถูกละเมิดได้ภายใต้กฎหมาย อย่างไรก็ดี ภายใต้รัฐบาลธานินทร์และเปรม กฎหมายถูกประยุกต์ ใช้ในการปกป้อง เสถียรภาพของราชบังลังก์ ราชวงศ์จักรี, และสถานภาพกษัตริย์ของไทยทุกรัชสมัย ตัวอย่างเช่น การกระทำการใดๆ อันเป็นการ ลบหลู่รัชกาลที่สอง (ซึ่งเสด็จสวรรคตไปแล้ว) ก็เข้าข่ายข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทพระบรมเดชานุภาพ<br /><br /><br /><br />สำหรับสื่อ เป็นที่ชัดเจนว่าเปรมห้ามไม่ให้มีการนำเรื่องราวของราชวงศ์ แม้กระทั่งเรื่องที่สมาชิก ในครอบครัวราชวงศ์เป็นผู้ กล่าวเองในที่สาธารณะ มาตีพิมพิ์ และวิพากวิจารณ์ หนังสือพิมพ์ไหนก็ตามที่ตีพิมพ์เรื่องเกี่ยวกับในวัง ไม่ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือไม่ หรืออะไรก็ตามที่อาจจะสร้างความ หมายแฝงในเชิงลบต่อในวัง จะได้รับการเตือนทางโทรศัพท์จาก สำนักงานตำรวจหรือจากสำนักงาน ความมั่นคงแห่งชาติ ตัวอย่างเช่น ขณะอยู่ในสหรัฐอเมริกาในปลายปี 2524 Q ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่ออเมริกา ในการนั้น Q ได้ตำหนิ P2 แม้ในวังจะไม่มีการบ่นการรายงานข่าวของสื่ออเมริกัน แต่เมื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น (ในไทย) รายงาน ความคิดเห็นของ Q กลับถูกตำหนิอย่างรุนแรง พร้อมกับคำขู่จะปิดหนังสือพิมพ์นั้นๆ สำหรับใครก็ตามที่ถูกจับฐานตีพิมพ์เรื่องราวที่สำคัญต่อ ราชบัลลังก์ จะถูกลงโทษอย่างหนัก ผู้คนเบื้องหลังที่รู้เรื่องราวและวิพากวิจารณ์ การกระทำหลายๆ อย่าง ของ Q ปีพ.ศ. 2524 ได ้ถูกตามล่าตัวและถูกจับขังคุกคนละ 8 ปี<br /><br /><br /><br />ความพยายาม (ปกป้องในวัง)ของเปรมไม่ได้หยุดลงแค่ชายแดนไทย ไม่นานนักหลังจากที่เปรมขึ้นมาเป็นนายก รัฐบาลของเขา ได้ห้ามการนำเสนอ ภาพปกหน้าของ นิวส์วีค ที่ลงภาพเปรมในตำแหน่งที่สูงกว่า K ในปีพ.ศ. 2525 เอเซียน วอลสตรีท เจอนัล ก็ถูกห้ามเกี่ยวกับบทความคิดเห็นหัวข้อ ระบบกษัตริย์ของไทยสามารถอยู่รอดในศตวรรษ์นี้หรือไม่? (Can Thailand’sMonarchy Survive This Century?) เขียนโดยอดีตเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติในประเทศไทย โดยแสดงความคิดเห็นว่า แท้จริงแล้ว ราชบังลังก์ไม่ได้เป็นที่นิยมอย่างที่เห็นกันๆ และการแทรกแซงทางการเม ืองของราชบังลังก์เป็นการก่อภัยใหักับตัวเอง (…the throne wasn’t aspopular as it appeared, and that its political interventions were self-endangering).<br /><br /><br /><br />ถึงแม้เปรมจะรณรงค์ส่งเสริม(ราชบัลลังก์)อย่างเต็มที่ ทั้ง K และ Q ก็ไม่เคยละทิ้งกิจกรรมทางศาสนาที่เป็นหน้าที่ของราชวงศ์ ในศษวรรษ 1980 K ไปชนบท 4-6 เดือนต่อปี โดยถ้าไม่ไปกับQ ก็ไปกับ P3 ที่เปรียบเสมือนเลขาประจำตัว Q ทำโครงการที่สนับสนุนโดยรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงพัฒนางานฝีมือเพื่อหารายได้เพิ่มให้แก่ครอบครัว<br /><br /><br /><br />ที่ผ่านมา K และครอบครัวไม่เคยผิดพลาดในการทำงานพิธีเก่าแก่ทางศาสนา จากมหาวิทยาลัยจำนวน 20 แห่งในประเทศ (ในขณะนี้-2005) ราชวงศ์จะไปมอบปริญญาให้กับผู้จบการศึกษาทุกปี ปัจจุบัน K มีปัญหาเรื่องแขนและไหล่ แต่ก็ยังไป จนกระทั่งเพื่อนเก่าแก่ที่เป็นหมอ (ประเวส วะสี) ได้กล่าวถึงเรื่องอาการไม่ดีของ K ในเรื่องนี้ให้สาธารณะชนรู้ K จึงวางมือปล่อยให้ลูกๆ ทำไป สัญลักษณ์ทางประเพณีก็เป็นอีกเรื่องที่ (K) ไม่ลืม ในเดือนมกราคม 2527 Kได้ไปเปิดศาลก่อตั้งใหม่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยขึ้นนั่งที่บังลังก์เพื่อเตือนประชาชนว่าเขาคือต้นแบบ ของความยุติธรรม<br /><br /><br /><br />หนึ่งในผู้ช่วย K คือ วสิษฐ เดชกุญชร ได้ยกย่องสรรเสริญการบำเพ็ญตนเพื่อสาธารณชนของK โดยเล่าให้ผู้เข้าเฝ้า ในปีพ.ศ. 2525 ฟังว่า ทุกคืน K และ Q จะหอบเอกสารมากมายเข้าไปทำต่อในห้องนอน และบ่อยครั้งที่ใช้เวลาทั้งคืนเพื่ออ ่าน(เอกสารเหล่านั้น) และตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลว่าทำไม K และ Q ตื่นเอาตอนบ่ายของแต่ละวัน ทันทีที่ตื่น เวลาของ K และ Q จะหมดไปกับงานพิธีต่างๆ ในตารางที่อัดแน่น และยังออกกำลังกายด้วย Q ทำกายบริหาร ส่วน K(เมื่ออายุ 55 ปี) วิ่งจอกกิ้ง 5วัน/อา ทิตย์ โดยวิ่งวันละ 2 กิโลเมตร ใช้เวลา 12 นาที วันศุกร์และวันอาทิตย์ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย K จะเล่นดนตรีแจ๊ส วสิษฐ กล่าวว่า ดนตรีคือสันทนาการอย่างเดียวของ K ที่เล่นด้วยความชื่นชอบ ฉันฟังเหมือนต้องมนต์สะกด และก็ช็อกในเวลาต่อมาเพื่อพบว่า K เล่นแจ๊สโดยไม่หยุดพักจากเวลา 3 ทุ่มจนถึงรุ่งเช้าถึงหยุด K ไม่เคยลุกจากที่นั่งมันทำให้ฉันเริ่มเข้าใจ ดนตรีก็เหมือนทุกอย่างที่ K ทำ คือ เขาจะทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ อันแน่วแน่ ความจดจ่อ(อยู่กับสิ่งที่ทำ) ส่งผลในระยะยาว สร้างความเชี่ยวชาญ และสร้างภูมิคุ้มกันK จากอารมณ์และความคิดเห็นที่u3629 อาจรบกวนความสงบและการตัดสินใจที่ถูกต้อง<br /><br /><br /><br />สิ่งที่โด่ดเด่นสุดเกี่ยวกับการส่งเสริม (ภาพลักษณ์ของ K) ก็คือการตีความหมายเช ิงประเพณีของระบบกษัตริย์ ขณะที่ส่วนใหญ่ละเลยบท สรุปของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่พยายามจะค้นหาว่าอะไรเป็นเหตุเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ กับระบบประชาธิปไตยแบบเจ้า และนำไปสู่เหตุการณ์6 ตุลาคม 2519 จากการบอกเล่าของ ไมเคิล คอนเนอร์ กลุ่มนักวิชาการชั้นสูงและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ในปลายทศวรรตที่ 1970 ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทย แตกแยกอย่างรุนแรงในครั้งนั้น กลุ่มนี้สรุปว่า โ ครงสร้างของ “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์” และ “ประชาธิปไทยอันมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ล้มเหลวที่จะสร้างความเป็นเอกภาพให้กับชาติเพราะว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะชาวไร่-ชาวนา ถ้าหยิบยกวัฒนธรรมประจำชาติที่เป็นทางการออกไป (ความต้องการของ) ประชาชนดูจะสอดคล้อง กับนโยบายและหลักการ ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทสไทยมากกว่า นักวิชาการสรุป ในตอนหนึ่งว่า รัฐบาลต้องขยายความรู้สึกการ มีส่วนร่วมในชาติของประชาชน โดยการขยายขอบเขตของ การเมืองสาธารณะและการ วิพากวิจารณ์ทางสังคม ประชาชนที่ยากจน (ชาวไร่-ชาวนา) ต้องถูกทำให้ตระหนักว่า พวกเขาคือปัจจัยสำคัญ ในการสร้างความเป็นชาติ<br /><br /><br /><br />แต่ในสองมือของเปรมและผู้นำรุ่นต่อมาของที่ปรึกษาในวัง กลับใช้การรณรงค์ส่งเสริมราชวงศ์ในทางปฎิบัติ ในเรื่องเฉพาะกิจบางเรื่องๆ อาทิเช่น นโยบายทางเศรษฐกิจและการบริหารงานบางอย่างมีการเปิดเผยให้สังคมได้วิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ยังจำกัดอยู่ในแวดวงของ ผู้มีการศึกษาเท่านั้น และยังเป็นอยู่ภายใต้ปัจจัยที่เข้มงวดตามสูตร ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ (ที่มิอาจละเมิดได้) และเ น ื่องจาก K ให้ความชอบธรรมทางกฎหมายแก่เปรม การวิพากษ์วิจารณ์ภาวะการเป็นผู้นำของเปรมจึงมิอาจกระทำได้เต็มที่<br /><br /><br /><br />ข้อสรุปของกลุ่มความมั่นคงเกี่ยวกับวัฒนธรรมแห่งความเป็นชาต ิและบรรดาหลักเกณฑ์ต่างๆถูกแจกจ่ายไป ตามสำนักงานเสริมสร้าง เอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนอย่างดีอย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่ใช้วิธีแบบก้าวหน้าเพื่อแก้ปัญหา สิ่งที่คณะกรรมการดำเนินการ ส่งเสริมกลับยึดติด กับหลักเกณฑ์เก่าๆ ในทางปฏิบัติ วัฒนธรรมแห่งความเป็นชาติยังคง เป็นแค่บางสิ่งที่มาจากผู้นำและถ่ายทอดผ่านทางสื่อ ไปยังประชาชน มันยังคงเน้นเป้าหมายที่ การอนุรักษ์สถาบันชาติ ตามภายใต้คำจำกัดความ “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์” สำนักงานเสริมสร้าง เอกลักษณ์ของชาติ ตีพิมพ์หนังสือออกมา เช่น ราชวงศ์จักรี และประชาชนชาวไทย ในปี พ.ศ. 2527 โดยมุ่งเน้นการ นำเสนอ ภาพลักษณ์ของ K เป็น กษัตริย์ชาวนาและ กษัตริย์นักพัฒนาเพื่อเชื่อมโยง K กับพ่อขุนรามคำแหงและผู้นำเศรษฐกิจรุ่นใหม่ คณะกรรมการได้สนับสนุน การจัดการประชุม ทางวิชาการ เช่น การจัดให้มีการอภิปรายเกี่ยวกับความสำคัญร่วมสมัยของไตรภูมิพระร่วง นักประวัติศาสตร์ ท่านหนึ่งได้เขียนไว้ว่า กลุ่มผู้นักอนุรักษ์ที่เข้าร่วมงานประชุมวิชาการอย่าง เป็นทางการเหล่านี้ ย้ำเน้นถึงการ นำเอาคำสั่งสอนจรรยาในตำรานี้มาใช้กับชีวิตร่วมสมัย รัฐบาล และความมั่นคงแห่งชาติ<br /><br /><br /><br />ในสิ่งเหล่านี้ ประชาชนยังคงไม่ได้รับการเหลียวแล และไม่ได้เป็นผู้เข้าร่วมอย่างเป็นทางการในการ ก่อร่างสร้างวัฒนธรรมดังกล่าว การเกี่ยวข้องของประชาชนกับรัฐส่วนใหญ่ผ่านทางการทำงานของพวกเขา ในการสร้างสังคม ส่วนประชาธิปไตยยังถูก จำกัดความและถูกกักให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของความมั่นคงแห่งชาติ เท่าที่ตีความโดยกลุ่มคนจากที่ใช้ความมั่นคงแห่งชาติเป็นเครื่องมือ โดยคนกลุ่มนี้มีอยู่ทั่วไปใน ช่วงศตวรรษที่ 1980 ที่คอมมิวนิสต์ในเว ิยดนามและจีนยังคงเป็นภัยคุกคามประเทศไทย พวกเขา (คณะทำงานเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ) ยังคงให้ความสำคัญเพียงเล็กน้อยต่อระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ เช่น รัฐธรรมนูญ, รัฐสภา, และการออกกฎหมายที่รับของชาติตะวันตกเข้ามา ในทางตรงกันข้าม สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ได้ตอกย้ำให ้พ่อขุนรามคำแหงเปรียบเสมือน สถาบันที่เป็นสัญญาแห่งประชาธิปไตยระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และประชาชน “ประชาชนไม่ใช่รัฐบาล หนึ่งในคณะกรรมการจากสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ อธิบายว่า “การนำความคิดเห็นของประชาชน มาเป็นเครื่องมือใช้ในการจัดทำนโยบาย จึงเป็นเสมือนการให้ประชาชน เป็นรัฐบาล ซึ่งมีแนวโนมนำไปสู่วิกฤติการทางการเมือง”.<br /><br /><br /><br />ในทางคู่ขนาน การดำเนินความสัมพันธ์ต่างประเทศของนายทหารคนสนิทและเลขาคณะองค์มนตรี ของ K (ทองน้อย ทองใหญ่) เริ่มขึ้นในตอนต้นทศวรรษ ที่ 1980 ทองน้อยจัดทำปาฐกถา อันยาวเหยียดเพื่อแสดงอำนาจของ K บนพื้นฐานผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ และอารมณ์ในหน้าบทความที่เป็นส่วนพูดคุยในหนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ ปีพ.ศ. 2526โดยใช้นามปากกาว่า “Concensus”<br /><br /><br /><br />ทองน้อย อธิบายคำว่า Concensus ว่าหมายถึงความเห็นชอบจากปัญชาชนว่าเป็นพื้นฐานทางจิตวิทยาแห่งชาติเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ประเทศเดียวในโลกที่ดำรงไ ว้ซึ่งศาสนาพุทธที่ยังไม่ตาย (ได้รับความนิยมสูงสุด) ในทางพุทธศาสนา Concensus จึงหมายถึงคุณงามความดีทางจิตวิญญาณ<br /><br /><br /><br />ทองน้อยกล่าวว่า ในทางประวัติศาสตร์ กษัตริย์ไทยถูกควบคุมโดยConcensus ผู้คนรวมเป็นหนึ่งเดียวเบื้องหลังผู้ออกกฎ ผู้ซึ่งปกป้องพวกเขาจากการคุกคาม (เช่นการปกครองแบบตะวันตก) และเป็นตัวแทนผลประโยชน์ทั่วไปของพวกเขา ทองน้อย เขียนเกี่ยวกับในประเทศไทยสมัยใหม่ไว้ว่า “โดยธรรมชาติของนักการเมืองแล้ว เลวทราม และบ้าอำนาจเกินไปที่จะปกป้อง ผลประโยชน์สาธารณะ สื่อมวลชนก็เชื่อถือไม่ได้ เป็นได้เพียงอีกสาขาหนึ่งของความบันเทิงเท่านั้น มีเพียง K เท่านั้นที่มีความ รู้ทางประวัติศาสตร์ และประสบการณ์, สัพพัญญู,และเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว ที่รวมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของชาติทองน้อยกล่าวว่า ประชาชนชาวไทยเข้าใจเรื่องเหล่านี้ เมื่อ K ป่วย ทุกคนตกอย ่ในความแตกตื่น ต่างจากเมื่อรัฐบาลล้ม ไม่มีใครสนใจ เพราะว่ารัฐบาลเป็นแค่ความบันเทิง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นระบบการคิดของ K เองเป็นอย่างดี ในการให้สัมภาษณ์ในปีพ.ศ. 2525 K เปิดเผยความเชื่อที่ว่าเขาอาจเป็นผู้ที่มีความพร้อมดีกว่าในการเลือกคนมาเป็นนายกรัฐมนตรี ”นี่เป็นระบบที่บางครั้งต้อง อาศัยประสบการณ์ของกษัตริย์อันสามารถเป็นประโยชน์......ประธานาธิบดีของรัฐสภาจะมาและมีการปรึกษาหารือ แต่ K อาจจะเป็นผู้ที่มีอำนาจมากกว่า เพราะประชาชนเชื่อมั่นในตัว K(Handley, 2006; c.f. Leader, April–June 1982)<br /><br /><br /><br />ภายใต้นามปากกา Concensus ทองน้อยสร้างปรัชญาว่าด้วยความจริงในธรรมชาติแบบก้าวกระโดดขึ้นมา เขาประกาศว่า รัฐธรรมนูญไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะความเป็นหนึ่งเดียวในตัว Kคือส ่งที่เทียบเท่ากับประชาธิปไตย ทองน้อยกล่าวว่า ประชาธิu3611 ปไตยที่ขึ้นชื่อ ในเกรทบริเทน(เกาะอังกฤษ) ไม่เคยมีรัฐธรรมนูญที่แท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น เขาเถียงว่า ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2475 เป็นต้นมา รัฐธรรมนูญไทย ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง, อำนาจของชนชั้นสูงตลอดจนพวกทหาร เมื่อกล่าวถึงอดีตนายกรัฐมนตรีสองคนที่อยู่ในคณะองค์มนตรี และมีภาพลักษณ์ที่ต่างออกไป อันได้แก่ สัญญา ธรรมศักดิ์ และธานินทร์ กรัยวิเชียร ทองน้อยให้คำจำความประชาธิปไตย (ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสองคนนี้)ว่า เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการทำให ้สิทธิ์ในความเป็นคนของประชากรควรจะได้รับการค ้มครองอย่าง สมบูรณ์เท่าที่จะเป็นไปได้แต่มีเพียง K เท่านั้นที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ หากทองน้อยยังคงยอมรับว่า แนวคิดของรัฐธรรมนูญ ที่ว่าคนไทยทุกคนต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในกรณีนี้ ส ่งที่ควรบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญมีเพียง 3 ประเด็นเท่านั้น คือ<br /><br /><br /><br />1. ประเทศไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้<br /><br /><br /><br />2. ประเทศไทยคือการปกครองระบอบราชาธิปไตย ด้วยสถาบันกษัตริย์จากราชวงศ์จักรี<br /><br /><br /><br />3. ประเทศไทยน่าจะมีความเป็นประชาธิปไตยที่ผ่านมาเท่าที่จะเป็นไปได้ทองน้อยมีความขัดแย้งกับ K ในการใช้อำนาจผ่านทหารในการเมือง (ของ K)<br /><br /><br /><br />ทองน้อยต่อต้านทหาร โดยมองว่าเป็นพวกแสวงหาอำนาจและพยายามผูกขาดรัฐบาล ทำให้ประเทศชาติยากจนลง ขาดการพัฒนา และการทุจริต แต่กระนั้น ทองน้อยก็กล่าวว่าความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ทางวัฒนธรรมเป็นพื้นฐานสำหรับอำนาจทางทหาร นั่นคือ คนไทยให้คุณค่าทหาร ประชาชนต้องการให้ทหารรักษาเสถียรภาพ(ของชาติ) ทองน้อยยกตัวอย่างว่า ดังจะเห็นได้จากรัฐประหาร ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เขาอ้างถึงคำกล่าวของ K ว่า ประชาชนต้องมองที่ความตั้งใจ ของทหารที่เขาเรียกว่าเป็นประชาธิปไตย นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2526 ประชาชนและทหารได้ก้าวไปพร้อมๆ กันและในทิศทางเดียวกัน<br /><br /><br /><br />อย่างไรก็ตาม ความพยายามเพื่อส่งเสริมราชบังลังก์ในยุคของเปรมล้มเหลว ที่จะปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของ คนที่กล้าตั้งคำถามส่วนหนึ่ง เกี่ยวกับทิศทาง ของผู้ที่กำลังใช้อำนาจที่มีอยู่นักการเมืองที่ความ ใฝ่ฝันของเขาถูกสะกัดกั้น จากกลุ่มพันธมิตรระหว่าง ในวังและเปรม นักวิชาการหัวก้าวหน้า และ อดีตนักกิจกรรu3617 มนักศึกษา ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ตั้งคำถามเหล่านี้ด้วย คนส่วนมากในกลุ่มเหล่า นี้ทำงานในสื่อสิ่งพิมพ์ในทศวรรษที่ 1980 ที่รัฐบาลและทหารไม่ได้ควบคุม (โดยตรง)ต่างกับทีวีและวิทยุ มีอุตสาหกรรมนิตยสารขนาดเล็กๆ เกิดขึ้น และวิเคราะห์อำนาจและการเมืองแบบเงินตราของรัฐบาลเปรม แทนที่จะกล่าวถึงความ สัมพันธ์ระหว่างเปรมและ K โดยตรง<br /><br /><br /><br />นิตยสารจำนวนมาก และปัญญาชนไทยแนะนำเกี่ยวกับราชบัลลังก์และประชาธิปไตยและเป็นคอลัมน์ที่ต้องห้ามใน เอเชี่ยน วอลท์สตรีท เจอนัล ในตอนปลายปี 2524 ผู้เขียน (Michael Schmicker) ตั้งคำถามอย่างรวนๆ ว่า ระบอบกษัตริย์จะอยู่รอดในอีก 20 ปีข้างหน้าหรือไม่ ท่ามกลางการเผชิญหน้าท้าทายจากหลายฝ่าย ไมเคิล เขียนว่า นอกจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แล้ว สิ่งที่น่าวิตกเป็นอันดับสองก็คือกลุ่มนักกิจกรรมนักศึกษาและอาจารย์ในระบอบมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเอง คนกลุ่มนี้ถูกบังคับอย่างงี่เง่าให้เลือกระหว่างจิตสำนึกของพวกเขาและK โดยที่พวกเจ้าที่ได้รับคำแนะนำแบบผิดๆ (จากที่ปรึกษา หรือคณะองค์มนตรี-ผู้แปล) ไม่สามารถจะแยกแยะได้ระหว่างเสียง ร้องอันบริสุทธิ์ที่ขอการเปลี่ยน แปลงทางสังคมและจากกลุ่ม ที่ต้องการทำลายราชบังลังก์ ซึ่งครอบครัวราชวงศ์แสดงอย่างชัดเจนถึงการที่จะรักษาไว้ซึ่งสถานภาพ (กษัตริย์)ของพวกเขา<br /><br /><br /><br />ไมเคิลได้ชี้ถึงอันตรายอันดับที่สาม นั่นก็คือ ความแตกแยกของกองทัพ ดังที่เกิดให้ในเหตุการณ์รัฐประหารโกหกเดือนเมษายน (April Fools’ coup) ที่ให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายต่อทุกฝ่าย “การทำรัฐประหารครั้งนั้นล้มเหลวไปพร้อมๆ กับเครดิตของสถาบันกษัตริย์ที่วางตัวไม่เป็น กลางระหว่างกลุ่มทหารแย่งชิงอำนาจกันภายสามเหล่าทัพ ครอบครัวราชวงศ์จึงอยู่ในภาวะอันตรายจาก อีกฝ่ายหนึ่งและต้อง ยอมรับความเสี่ยงนั้น จากการเลือกอีกยืนข้างอีกฝ่ายหนึ่ง สิ่งที่ท้าท้ายภาวะการอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์อย่างสุดท้ายคือความไม่เป็นที่นิยม (ของประชาชน) ในตัวรัชทายาท(P2) หลังจาก 9 ปีในการเตรียมการต่างๆ เพื่อให้ P2 ขึ้นสืบต่อบังลังก์ P2 ยังประสบความยากลำบากที่จะ กระทำตนให้อยู่ในมาตรฐานท ี่สังคม คาดหวังในฐานะกษัตริย์องค์ต่อไป P2 ไม่ฉลาด,ขาดความเมตตา และไม่รู้วิธีการทำตัวให้เป็นที ่รักของประชาชน เท่าที่ปรากฎ P2 มีความสุขจากการได้รับการสนับสนุนภายในแวดวงทหารเท่านั้น ภาพพจน์ของ P2 เหมือนกับ ดอน จวน ที่ทำลายเชื่อเสียงตัวเองและก่อให้เกิดการวิพากวิจารณ์(จากสาธารณะ) เพื่อความสนุกสนานเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์<br /><br /><br /><br />อย่างที่คาดหมาย รัฐบาลขัดเคืองใจต่อการเสนอบทความของไมเคิลและกล่าวหาว่าสื่อต่างประเทศมีมุมมองที่บิดเบือน แต่กระนั้น ส.ศิวลักษณ์ ได้เขียนบทความในนิตยสาร “ลอกคราบสังคมไทย”ในปีพ.ศ. 2525 ว่า สถาบันกษัตริย์กำลังเดินผิดทาง และ K มี ความเข้าใจอย่างผิดๆต่อ (สภาวะของ) ประเทศไทย รัฐบาลของเปรมละเลยเสียงวิจารณ์นั้น จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2527ส.ศิวลักษณ์ ถึงได้ถูกจับในข้อหา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กลุ่มนักสิทธิ มนุษยชนภายในและระหว่างประเทศ ได้ขอให้มีการนิรโทษกรรม ส.ศิวลักษณ์ ตลอดจน กลุ่มนักวิชาการ ทั้งไทยและ ต่างประเทศได้ทำการประนาม การจับกุมส. ศิวลักษณ์อย่างรุนแรง ขณะที่ K ถูกลากเข้าไปในการต่อสู้สาธารณะ ในวังได้เข้ายุติเรื่องราวอย่างเงียบๆ ด้วยการปล่อยตัวส. ศิวลักษณ์ (Note, p.467: อย่างไรก็ตาม ในวังไม่ได้เสียใจในการกระทำดังกล่าว หลายสัปดาห์ต่อมา ในวังไปเที่ยวออสเตรเลียและมีประชุมลับๆ กับนักวิชาการที่นั่น ในครั้งนั้น ในวังยืนยันว่าส.ศิวลักษณ์ และคนจำนวนหนึ่งต้องถูกจับเพราะว่าคนพวกนี้ตั้งตัวเป็นภัยต่อสังคม)<br /><br /><br /><br />การท้าทายอีกเรื่องหนึ่งก็คือการหมุมเว ียนบทวิจารณ์นโยบายการเข้าแทรกแซงของ Kท่ามกลางนักวิชาการในปีพ.ศ. 2526 ในรูปแบบ ของตำรา ความหนา 69 หน้า เขียนเป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับประเพณีทางการเมืองราชวงศ์จักรี เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ว่าตำราดังกล่าวเป็น ผลงานของม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัฒน์ หลานชายของรัชกาลที่ 7 และในทางปฎิบัติ เขาเป็นจัดอยู่ในกลุ่มรัชทายาท ขึ้นสืบต่อราชบังลังก์ ในหน้าสุดท้ายของตำรา ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนรัฐศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวอย่าง ตรงไปตรงมาถึงอันตรายของการสนับสนุนทางการเมืองอย่างเปิดเผยของรัชการที่ 9 โดยอ้างถึงการต่อสู้ระหว่างในวัง ราชการแบบ อนุรักษ์นิยม และการขัดขวางการปฎิรูปสถาบัน อันนำไปการยกเลิกระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในปี พ.ศ. 2475 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ กล่าวเตือนว่า ระบบกษัตริย์ครั้งหนึ่งเคยเป็นความหวังของหลายๆคนในวันที่ทหารเรืองอำนาจ ปัจจุบันอยู่ในอันตราย รับรู้ได้ถึงความแตกแยก, ล้าหลัง, และขวาจัดความขัดแย้งอยู่ในจุดที่ว่าการแสดงอำนาจเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ระเบียบในวัง อาจจะต้องมี ส่วนร่วมในการ เปลี่ยนแปลงนี้ด้วยตัวเองในท้ายสุด ....สถาบันกษัตริย์กำลังพยายามที่จะทำ ตัวเป็นทั้งสัญลักษณ์ ของความเป็นเอกภาพ ในชาติและผู้ แสดงหาอำนาจ ....เหลือไว้เพียงอดีตของ ปฎิบัตินิยมและการผ่อนปรนที่เป็นเครื่องหมายของราชวงศ์ จักรี<br /><br /><br /><br />เนื่องจากความเรียงข้างต้นไม่มีการลงชื่อ(ผู้เขียน) และแจกจ่ายส่วนใหญ่ในหมู่ปัญญาชน,นักหนังสือพิมพ์, และนักการทูต และไม่ม ีการรายงานต่อ สาธารณะ ทำให้ในวังสามารถนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สิ่งที่หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์เตือนนั้น พิสูจน์ให้เห็นว่า คำทำนายของเขาเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้TKNShttp://www.blogger.com/profile/07270010479047374707noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3549628732487738062.post-86139145530924108792007-09-04T12:23:00.000-07:002007-09-04T12:26:29.338-07:00บทที่1: ธรรมราชาจากอเมริกา (A Dhammaraja from America)<div id="header"> <div class="wrapper"><div id="g_description"> <div id="g_description"> <p><strong>จากหนังสือ The King Never Smiles เขียนโดย Paul M. Handley (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล)</strong></p> <p><strong>1. A Dhammaraja from America (หน้าที่: 12-25) </strong></p> <p><strong>ถอดความภาษาไทยโดย </strong><a href="http://thaitkns.googlepages.com/sinn"><strong>นายสิน แซ่จิ้ว</strong></a><strong></strong></p></div></div> </div></div><!-- /editable --><!-- /wrapper --><!-- /header --> <div id="main-content"> <div class="wrapper"> <div class="content-item"> <div id="g_body"> <p><span style="font-family:arial,sans-serif;"><span style="font-size:85%;"><span style="color:#000000;"><span style="font-family:arial,sans-serif;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><em>"</em></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เหตุการณ์ที่ทำให้กษัตริย์ซาร์แห่งรัสเซียต้องสละราชบัลลังก์ก็เป็นเพราะตัวท่านเอง ท่านปฏิเสธไม่ยอมรับฟังหรือปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มหัวก้าวหน้าตามเวลาอันควร ซึ่งเป็นพวกที่มีปากเสียงโวยวายมากขึ้นทุกวัน ไม่มีใครต่อต้านพวกหัวก้าวหน้าได้ และก็น่าที่จะถามกันอีกว่า ทำไมถึงไม่ฟังเสียงของพวกจารีตนิยมด้วยเช่นกัน เพราะในเมื่อมันมีอยู่แล้ว คำตอบก็คือพวกจารีตนิยมนั้น ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์ สาเหตุเพราะจารีตนิยมมีความเชื่อมั่นในสถาบันกษัตริย์ ส่วนพวกหัวก้าวหน้านั้นมีความสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ ดังนั้นจึงควรฟังเสียงของพวกหัวก้าวหน้ามากกว่าพวกจารีตนิยม ความคิดเห็นขัดแย้งกันของทั้งสองฝ่ายเป็นเรื่องธรรมดา แต่พวกจารีตนิยมเป็นพวกที่ติดยึดไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง และการเหนี่ยวรั้งเป็นสิ่งที่คงอยู่ได้เพียงชั่วคราว ในท้ายที่สุดพวกหัวก้าวหน้าจะเป็นผู้กำหนดการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">"</span></span></span></span></span></p><span style="font-size: 14pt; color: rgb(153, 51, 0); font-family: 'Angsana New';"><o p=""></o></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: 14pt; color: rgb(153, 51, 0); font-family: 'Angsana New';"><span style="color:#000000;">– <span lang="TH">จดหมายเหตุของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ถึงรัชกาลที่</span>6<span lang="TH"> ในเดือน เมษายน พ</span>.<span lang="TH">ศ</span>. 2460</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: 14pt; color: rgb(153, 51, 0); font-family: 'Angsana New';"></span> </p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; color: rgb(153, 51, 0); font-family: 'Angsana New';"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH">ภูมิพลเกิดในวันที่ </span>5 <span lang="TH">เดือนธันวาคม พ</span>.<span lang="TH">ศ</span>. 2470 <span lang="TH">วันที่อากาศหนาวเยือกเย็นจัดในเมือง </span>Brookline<span lang="TH"> ชานเมืองที่รุ่งเรื่องของเมือง </span>Boston <span lang="TH">รัฐ</span> Massachusetts <span lang="TH">แผ่นดินที่มีบรรยากาศห่างไกลจากราชบัลลังก์ทองในเมืองบางกอก ประเทศสยาม อันมีอากาศที่ร้อนอบอ้าว ซึ่งในขณะนั้นมีลุงเป็นกษัตริย์ชื่อว่า ประชาธิปก ผู้กำลังต่อสู้กระเสือกกระสนดิ้นรนต้านกับคลื่นการเมืองหัวสมัยใหม่ เพื่อรักษาไว้ในระบบราชาธิปไตยในแบบสมบูรณาญาสิทธิราช</span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"> (absolute monarchy)<o p=""></o></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> ประชาธิปก หรืออีกนัยหนึ่งคือกษัตริย์ราชวงศ์จักรี <span> </span>มีตำแหน่งเป็นรัชกาลที่ </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">7 <span lang="TH">เพิ่งได้เข้ามาเสวยราชบัลลังก์หลังจากที่กษัตริย์วัชิราวุธได้สร้างความล้มเหลวมานานถึงสิบห้าปี เงินกำปั่นคงคลังของรัฐบาลหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอ สร้างความขุ่นเคืองไม่พอใจต่อบรรดาราชวงศ์ที่มีอำนาจเอกสิทธิ์ผูกขาด แผ่ซ่านไปถึงบรรดาชนชั้นกลาง<span> </span>ประชาธิปกหวั่นวิตกกลัวการปฏิวัติที่ล้มล้างตัดทอนอำนาจของสถาบันกษัตริย์ อย่างที่เกิดขึ้นในยุโรป รัสเซีย และ ประเทศจีน</span></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span style="color:#000000;"> <o p=""></o></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> ในความนึกคิดส่วนหนึ่งของ ประชาธิปก พะวงถึงทารกที่เกิดขึ้นใหม่ในเมืองบอสตันที่อยู่ห่างไกล มีเพียงกษัตริย์และพราหมณ์ที่ปรึกษาเท่านั้น ที่จะเลือกชื่อให้กับบุตรหรือโอรสที่มีสายเลือดของกษัตริย์ได้<span> </span>หลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป จึงมีการประกาศทางโทรเลขว่า โอรสที่เกิดใหม่นั้นมีชื่อว่า ภูมิพล อดุลยเดช หรือมีความหมายว่า กำลังที่แข็งแกร่งของแผ่นดิน และด้วยอำนาจที่เปรียบไม่ได้ ภูมิพล จึงได้คงความเป็นกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวที่เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา </span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span style="color:#000000;"> <o p=""></o></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> บิดาของภูมิพลคือเจ้าฟ้ามหิดล อันเป็นน้องต่างมารดากับกษัตริย์ประชาธิปก เจ้าฟ้ามหิดลเกิดในปี พ.ศ.</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"> 2435<span lang="TH"> เป็นบุตรคนที่ </span>69<span lang="TH"> ของกษัตริย์จุฬาลงกรณ์หรือ รัชกาลที่</span>5 <span lang="TH">กับภรรยาคนที่สองในสามคนคือ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา<span> </span>จึงเป็นสายเลือดแท้ของราชวงศ์ที่มีสิทธิในการสืบสันตติวงศ์ แต่ในขณะนั้นอยู่แค่ในตำแหน่งที่หกของผู้มีสิทธิทั้งหมด ซึ่งทำให้ดูเหมือนกับตำแหน่งปลายแถว </span></span></span><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH">พออายุได้</span> 12<span lang="TH"> ปี </span></span></span><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH">เจ้าฟ้ามหิดลถูกส่งไปเข้าโรงเรียนแฮร์โรว์(</span>Harrow)<span lang="TH"> ในประเทศอังกฤษ และสองปีต่อมาก็ย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนทหารที่ประเทศเยอรมันนี ในปี 2457 หรือ<span> </span>สี่ปีหลังจากที่กษัตริย์จุฬาลงกรณ์ได้ถึงแก่กรรม โดยครองราชย์มาได้ทั้งหมด</span> 42<span lang="TH"> ปี เจ้าฟ้ามหิดลได้เดินทางกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อรับตำแหน่งที่สำคัญในกองทัพเรือของประเทศสยาม</span></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span style="color:#000000;"> <o p=""></o></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> ในปี พ.ศ.</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2460<span lang="TH"> ท่านตัดสินใจทำการศึกษาต่อทางด้านแพทย์ที่มหาวิทยาลัย </span>Harvard<span lang="TH"> University และที่นั้นท่านได้ตกหลุมรักกับ สังวาล นักเรียนพยาบาล อันเป็นคนธรรมดาสามัญลูกครึ่งจีน สังวาลเกิดจากครอบครัวที่ยากจนในปี พ.ศ.</span>2443<span lang="TH"> ข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตรงข้ามกับราชวัง ต่อมาต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า พออายุได้เจ็ดขวบก็ถูกส่งเข้าไปเฝ้าอยู่ในวัง มารดาเจ้าฟ้ามหิดลและน้องสาว ต่างเห็นแววความฉลาดของเด็ก จึงช่วยอุปถัมภ์ส่งเรียนต่อที่ </span>Boston’s Simmons College <span lang="TH">เมื่อเจ้าฟ้ามหิดลและสังวาลพบกัน จึงเป็นสิ่งทีหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับบุพเพสันนิวาส แต่การแต่งงานของคนสามัญชนกับเจ้าฟ้าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะในวังไม่สนับสนุนการแต่งงานอย่างเปิดเผยกับสามัญชน แต่สังวาลเป็นที่โปรดปรานของเจ้าจอมมารดา และเจ้าฟ้ามหิดลมีตำแหน่งเพียงปลายแถวในการสืบสันตติวงศ์ ดังนั้นจึงได้รับอนุมัติให้แต่งงานกันได้ หลังจากนั้นก็ได้ตำแหน่งเรียกว่าหม่อมสังวาล หลังจากที่แต่งงานกันในปี พ.ศ.</span>2472<span lang="TH"> ทั้งคู่เดินทางกันอย่างกว้างขว้างในอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย เพื่อการศึกษา ความพึงพอใจส่วนตัว และบางครั้งก็เป็นราชภารกิจ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.</span> 2466 <span lang="TH">ก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนแรกเกิดที่ประเทศอังกฤษ ชื่อว่า กัลยาณิวัฒนา</span></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span style="color:#000000;"> <o p=""></o></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> เหมือนเช่นกับพี่ๆน้องๆทุกๆคน เจ้าฟ้ามหิดลมักมีอาการป่วยเรื้อรังอยู่บ่อยๆ<span> </span>บางคนก็พูดถึงว่า อันเป็นสาเหตุมาจากการแต่งงานกับพี่น้องในสายเลือดเดียวกัน ดังเช่น กษัตริย์</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">จุฬาลงกรณ์ที่</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มีภรรยาที่เป็นทางการทั้งหมดนั้น<span> </span>ก็เป็นนองสาวต่างมารดาในราชวงศ์ของตนเองทั้งสิ้น ทำให้มีทารกที่เกิดใหม่เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากเพราะสาเหตุเหล่านี้<span> </span>ในปี</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span> </span><span lang="TH">พ.ศ. </span>2468<span lang="TH"> เจ้าฟ้ามหิดลได้ย้ายไปอยู่ที่เมือง</span> Heidelberg, Germany<span lang="TH"> เพื่อรับการรักษาสุขภาพ และในวันที่</span> 20<span lang="TH"> กันยายน อันตรงกับวันเกิดของกษัตริย์<span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">จุฬาลงกรณ์</span></span> ซึ่งถือว่าเป็นวันศุภมงคล<span lang="TH"><span> </span>สังวาลก็คลอดบุตรชายคนแรกมีชื่อว่า อานันท มหิดล</span></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span style="color:#000000;"> <o p=""></o></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> สองเดือนต่อมา เหตุการณ์ลามปลายใหญ่โตมากขึ้น เมื่อกษัตริย์วัชิราวุธเสียชีวิตโดยไม่มีบุตรชายในการสืบสันติวงศ์ เพราะห้าปีที่ผ่านมา ลูกพี่ลูกน้องในราชวงศ์ของเจ้าฟ้ามหิดลได้ถึงแก่กรรมกันไป เพียงอายุสามสิบกว่าปีเท่านั้น อีกทั้งกษัตริย์คนใหม่ต่อมาคือประชาธิปกเองก็ไม่มีบุตรไว้สืบสันตติวงศ์ ทำให้เจ้าฟ้ามหิดลเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน</span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span style="color:#000000;"> <o p=""></o></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ตำแหน่งกษัตริย์ดูเหมือนจะไม่มีความหมายนักสำหรับเจ้าฟ้ามหิดล เพราะท่านใช้เวลามากกว่าครึ่งหนึ่งของสามสิบสามปีอยู่นอกประเทศสยาม ห่างไกลกับกิจวัตรและประเพณีภายในวัง จนมีคนกล่าวกันว่า ในทางส่วนตัวแล้วเจ้าฟ้ามหิดล อาจจะไม่เหมาะสมกับระบบกษัติรย์ตามอย่างวัฒนธรรมไทยนัก ท่านมีแนวความคิดนิยมโน้มเอียงไปในรูปแบบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกา และเชื่อกันว่าท่านอาจจะสละสิทธิให้กับลูกพี่ลูกน้องที่มีตำแหน่งถัดต่อไปคือ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์<strong> </strong><span> ผู้ซึ่งมีอำนาจอยู่ในมือและเป็นคนมีระเบียบวินัย เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์เป็น</span>บุตรของกษัตริย์<span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">จุฬาลงกรณ์</span> อันเกิดจากภรรยาคนที่สามชื่อ พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี หลังจากการทำพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ประชาธิปกในปี พ.ศ. </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2469<span lang="TH"> เจ้าฟ้ามหิดลเดินทางกลับไปศึกษาวิชาแพทย์ต่อที่มหาวิทยาลัย </span>Harvard<span lang="TH"> เพื่อที่จะได้รับประกาศการศึกษาขั้นสูง ท่านหวังที่จะนำเอาวิชาแพทย์สมัยใหม่มาใช้ในประเทศสยาม</span></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span style="color:#000000;"> </span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> เจ้าฟ้ามหิดลและสังวาลชื่นชมสหรัฐอเมริกายิ่งนัก มีบ้านส่วนตัวหลังใหญ่ในเมือง</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"> Brookline<span lang="TH"> และรถยนต์ใช้ส่วนตัวแบบ</span>Limousine<span lang="TH"> มีคนใช้บริการงานบ้านและดูแลลูกๆ สังวาลศึกษาการเลี้ยงเด็กแบบสมัยใหม่และจัดการงานในบ้าน ครอบครัวชอบขับรถชมวิวชนบทในเขต</span> New England<span lang="TH"> และได้รับการต้อนรับอย่างดีที่เกาะ </span>Martha's Vineyard<span lang="TH"> โดย นาย</span> Francis Sayre<span lang="TH"> ตำแหน่งผู้ที่ปรึกษาสำนักราชวัง และเป็นบุตรเขยของประธานาธิปดี </span>Woodrow Wilson</span></span></p><span style="color:#000000;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> ภูมิพลเป็นบุตรคนที่สามหรือบุตรคนสุดท้าย แม้นสังวาลจะเป็นคนสามัญแต่บุตรชายทั้งสองได้รับการแต่งตั้งเป็นถึงขั้นเจ้าฟ้า ในปลายปี พ.ศ. </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2470 <span lang="TH">กษัตริย์ประชาธิปกได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ในอนาคตบรรดาบุตรในราชวงศ์ที่มียศเป็น สมเด็จเจ้าฟ้า ไม่ว่าจะมาจากมารดาที่มีฐานะหรือตำแหน่งะอะไรก็ตาม ต่างก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระองค์เจ้า ย่อมมีโอกาสเปลี่ยนตำแหน่งเลื่อนให้เป็นผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นมาได้ ซึ่งอาจจะเป็นการนอกรีต แต่ก็เป็นหนทางเดียวที่จะรักษาเชื้อพระวงศ์ที่มีสายเลือดใกล้ชิดกันทั้งหลายให้อยู่รอดต่อไป </span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH">พี่น้องของเจ้าฟ้ามหิดลทั้งหกคนต่างมีบุตรสืบสันตติวงศ์เพียงแค่สองคน และทั้งสองก็ไม่ใช่สายเลือดราชวงศ์จักรีอย่างโดยตรงคือ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถมีบุตรหนึ่งคน ชื่อว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ หรือ พระองค์จุล ครึ่งไทยครึ่งรัสเซีย และเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ก็มีบุตรเพียงคนเดียว พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช ซึ่งมีแม่เป็นคนรับใช้ในวัง เพื่อเป็นการสืบสายเลือดราชวงศ์จักรี กษัตริย์ประชาธิปกได้จัดตั้งสิบเอ็ดรายชื่อตำแหน่งพระองค์เจ้าขึ้นมา รวมทั้งบุตรทั้งสองของเจ้าฟ้ามหิดลได้อยู่ในรายชื่อนั้นด้วย</span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"> <o p=""></o></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เจ้าฟ้ามหิดลทำตัวให้ห่างจากตำหนักในวัง ท่านไม่ประสงค์ที่จะให้ลูกๆเติบโตกลายเป็นเทียบเท่ากับพระเจ้าด้วยพิธีการต่างๆ เมื่อท่านล้มป่วยลงอย่างหนักในปี พ.ศ. </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2471<span lang="TH"> ท่านได้อ้อนวอนนาย</span> Sayre<span lang="TH"> ว่าหากท่านเสียชีวิต ขอให้หลีกเลี่ยงบุตรทั้งสองจากอันดับในการสืบราชสันตติวงศ์</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เจ้าฟ้ามหิดลมีชีวิตจนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"> Harvard<span lang="TH"> และเดินทางกลับมาที่เมืองบางกอก ตามท้องถนนในเมืองบางกอกต่างพุดคุยกันถึงท่านในตำแหน่งผู้สืบราชสันตติวงศ์ ท่านได้รับการกล่าวขานว่าฉลาดแต่ไม่ต่อเนื่อง และไร้ความทะเยอทะยานทางด้านการเมือง เปรียบเทียบกับประชาธิปกผู้มีแต่ความลังเลใจ บางก็วิพากษ์วิจารณ์ไปถึงเถือกเถาเหล่ากอของภรรยาของท่าน ท่านมักจะมีอาการล้มป่วยอยู่เรื่อยๆจึงเป็นที่วิตกกังวลว่าจะทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่ในการเสี่ยง และภายในวังและวงการทูต ต่างเชื่อกันว่าท่านนิยมการปกครองแบบอเมริกา แม้นว่าท่านจะมีผู้สนับสนุนมากมาย แต่ก็มีความหวาดกลัวว่าตำแหน่งจะหลุดไปอยู่ในมือของเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์<b> </b><span> </span>ผู้ควบคุมกองกำลังทหารสยามประเทศ</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span>เจ้าฟ้ามหิดลมีความหวังที่จะต้องการฝึกฝนตนเองเป็นแพทย์ แต่ระเบียบการของราชวังต่างขัดขวางต่อการปฏิบัติแทบทุกกรณี<span> </span>การพบผู้ป่วยต้องใช้ภาษาราชาศัพท์ ซึ่งชาวบ้านนอกวังต่างไม่เข้าใจ เพราะตำแหน่งกษัตริย์เปรียบเช่นกับเจ้าชีวิต เจ้าฟ้ามหิดลคงแตะต้องได้เพียงศีรษะของผู้ป่วยเท่านั้น เพื่อเป็นการฝึกฝนให้เข้าถึงทางด้านการแพทย์ เจ้าฟ้ามหิดลจึงเดินทางไปเชียงใหม่ในปี พ.ศ. </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2472<span lang="TH"> ที่โรงพยาบาลที่ดำเนินการโดยชาวอเมริกัน หลังจากยี่สิบสี่วันท่านก็รู้สึกไม่สบาย ท่านเดินทางกลับไปยังบางกอก และพ่ายแพ้ต่อโรคภัยในที่สุด ในเดือนกันยายน ด้วยอายุเพียง</span> 37 <span lang="TH">ปี</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในปี พ.ศ. </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2467<span lang="TH"> กฏหมายเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์ไม่แน่ชัดนักว่าจะให้ใครไปผู้สืบต่อ เช่นให้เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์<b> </b><span> </span>อันเป็นบุตรของกษัตริย์<span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">จุฬาลงกรณ์</span> ที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียว หรือเจ้าฟ้าอานันท มหิดล อันกลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อ แม้นว่าจะไม่มีทางเลือกมากนักแต่ก็ไม่มีการตัดสินใจกันในทันใด แต่อานันท ซึ่งมีอายุได้เพียงสี่ปีก็ได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างเช่นกษัตริย์คนต่อไป<span> </span>ทำให้ภูมิพลซึ่งอายุได้สองขวบได้ติดอันดับปลายแถวในการสืบสันตติวงศ์กับเขาด้วย ส่วนภรรยาหม้ายคือสังวาลได้รับการแต่งตั้งยศให้เป็น หม่อมสังวาล มหิดล ณ อยุธยา หรือคุณหญิงมหิดล ผู้สืบสายสกุลมาจากกรุงศรีอยุธยา เป็นการปกป้องตำแหน่งของเจ้าจอมมารดาราชินีสังวาล ผู้ซึ่งตั้งใจให้ตระกูลของตนเองคงติดอยู่กับราชวงศ์จักรีต่อไปชั่วกาลปวสาน</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ครอบครัวมหิดลพักอาศัยกันอยู่ที่วังสระประทุม ที่เป็นวังไม้สักสร้างใหม่อยู่บนพื้นที่กว้างขว้างระหว่างคลองที่เกือบปลายสุดของใจกลางเมืองบางกอก ชีวิตในวังเต็มไปด้วย นางสนมกำนัล พยาบาล ครูบาอาจารย์ และคณะทูต ด้วยการรับอิทธิพลการเลี้ยงดุลูกจากวัฒนธรรมตะวันตกจากอเมริกา สังวาลทำตัวให้ใกล้ชิดกับการเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งอานันท และภูมิพลถูกปล่อยให้วิ่งเล่นรอบๆสวนในวังได้ตามอำเภอใจ เล่นกับของเล่นต่างๆนานาจากยุโรปและอเมริกา มีทั้งสุนัข แมว และลิง เลี้ยงเล่นกันในบ้าน เมื่อถึงงานวันเกิดก็มีการจัดงานให้ยิ่งใหญ่สมเกรียติ์สำหรับเด็กๆและผู้ใหญ่ทั้งไทยและเทศ มีการเล่นเกมส์ ขี่ม้า แต่งตัวกันหลากสีสรร</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ตระกูลมหิดลชื่นชมกับชีวิตที่อยู่ดีกินดีสดวกสบายทันสมัยอย่างตะวันตก กินอาหารอย่างตะวันตกราวกับว่าเป็นอาหารไทยแท้ๆเช่น ขนมเค้ก แซนดวิช นม เป็นแบบแผนอาหารประจำวันทั้งอาหารเช้า และอาหารกลางวัน แทนที่จะกินอาหารแบบไทยอย่าง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวเจ้า หรือกินกับข้าวอย่างไทยๆ เช่นเดียวกับการแต่งตัวอย่างตะวันตก จะแต่งตัวแบบไทยๆก็ต่อเมื่อต้องเข้าทำพิธีต่างๆตามวัฒนธรรม ครอบครัวชอบเดินทางไปตากอากาศตามชายทะเล เที่ยวสวนสัตว์ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลในทุกๆอย่างราวกับว่าเป็นกษัตริย์ในอนาคต<span> </span>ในช่วงฤดูร้อนพวกเขาต่างพากันหนีร้อนไปที่หัวหินถิ่นของเหล่าศักดินา มีการเรียนหนังสือกันเองภายในวังร่วมกันกับเด็กๆรุ่นเดียวกันทั้งชาวไทยและเทศ มีครูทั้งชาวไทย อังกฤษ และอเมริกัน สังวาลตั้งใจให้ลูกๆเรียนภาษาอังกฤษ ในปี พ.ศ. </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2473<span lang="TH"> อานันทได้เข้าลงทะเบียนที่โรงเรียนของผู้ดีชั้นสูงศาสนาคริสต์นิกายคาเธอรลิคชื่อ</span> Mater Dei<span lang="TH"> สองปีต่อมา ภูมิพลก็เข้าเรียนที่โรงเรียนเดียวกันนี้</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">การสังคมของอานันท เพื่อเตรียมตัวที่จะเป็นกษัตริย์ธรรมราชาได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยมีภูมิพลอยู่เคียงข้างเสมอ<span> </span>มีการทำพิธีต่างๆ</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ทางศาสนา โดยสังวาลช่วยอบรมสั่งสอนเด็กทั้งสองให้เข้าถึงพุทธศาสนา ด้วยการพาเข้าวัด ฟังตำนานเรื่องราวต่างๆ พอถึงวันเกิดก็ทำบุญให้อาหารพระ ปล่อยนก ปล่อยปลา ในปี พ</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">.<span lang="TH">ศ</span>. 2475<span lang="TH"> อานันทเริ่มศึกษาทางด้านศาสนากับพระสังฆราช และบทเรียนหนึ่งที่พี่สาวหรือกัลยาณิจำได้คือ การตบยุ่งนั้นเป็นบาป</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">อานันทมักจะลืมตนว่าเป็นผู้สืบสันตติวงศ์ จนวันหนึ่งในปี </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2474<span lang="TH"> เมื่อกลับจากโรงเรียนจึงเข้าไปถามแม่ว่า ทำไมใครๆต่างเรียกผมว่า องค์แปด เมื่อมารดาอธิบายว่า วันหนึ่งลูกจะได้เป็นกษัตริย์แห่งประเทศสยาม พี่สาวกัลยาณิจำได้ว่า อานันทมีอาการป่วยขึ้นมาทันที ความจริงอาการป่วยนี้เป็นกันมาทั้งผู้เป็นพ่อ และลุง อาการป่วยทำให้ขาดโรงเรียนบ่อยๆ แพทย์ส่วนตัวบอกว่าอาการมีเลือดบาง</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ชีวิตที่สระประทุมเริ่มลำบากยากขึ้นในช่วงปี </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2474-2475 <span lang="TH">สังวาลทนอาการร้อนในเมืองบางกอกไม่ได้ ปัญหาทางการเมืองร้อนแรงมากขึ้น อีกทั้งกระแสการเงินในอเมริกาเองก็ล้มลุกคลุกคลาน รัฐบาลเริ่มหมดเงินในการใช้จ่าย จึงเริ่มเก็บภาษีมากขึ้นจากชนชั้นกลาง กษัตริย์ประชาธิปกโอนไปเอนมากับปัญหาเศรษฐกิจในระดับโลก จึงไม่น่าแปลกใจนักที่เกิดการกบฎจากกลุ่มข้าราชการและทหารกลุ่มน้อย เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นแบบประชาธิปไตย และทิ้งให้สถาบันกษัตริย์หมดอำนาจลงไป</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ประชาธิปกยอมเป็นภาคีกับการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่บรรดาเจ้าฟ้าศักดินาทั้งหลายไม่ยอมจำนนด้วย จึงรวมตัวกันสร้างแผนเอาอำนาจแบบเดิมคืนมาอีก ในเดือนเมษายน</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span> </span>2475<span> </span><span lang="TH">ครอบครัวตระกูลมหิดลพากันเดินทางกลับไปอยู่ที่ ลูซาน </span>Switzerland<span lang="TH"> เพื่อความปลอดภัย และอาศัยอยู่ต่อมาจนถึงปี </span>2488<span lang="TH"><span> เป็นเวลานาน</span>กว่าสิบปีหลังจากที่กษัตริย์ประชาธิปกได้สละราชสมบัติให้กับอานันท และแต่งตั้งให้ภูมิพลเป็นผู้สืบสันตติวงศ์อันดับแรก</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">การกบฎในปี </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2475<span lang="TH"> ไม่ใช้แต่เพียงเป็นผลมาจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ และการบริหารประเทศที่เห็นแก่ได้ของราชวงศ์ ประชาธิปกเข้ารับตำแหน่งเป็นกษัตริย์ในขณะที่เหตุการณ์ที่พวกหัวก้าวหน้า ท้าทายกับพวกจารีตนิยม เนื่องจากกษัตริย์องค์ก่อนคือวชิราวุธหรือ รัชกาลที่</span> 6 <span lang="TH">ได้มีแนวทางที่จะเปลี่ยนรูปแบบการปกครองประเทศ ให้กลายเป็นแบบจักรวรรดินิยมอย่างในยุโรปและที่ญี่ปุ่น แต่การจัดการบริหารของรัชกาลที่</span> 6 <span lang="TH">นั้นล้มเหลวไม่เอาถ่าน พร้อมกับมีการต้านทานจากบรรดาราชวงศ์ด้วย พวกเขาเชื่อว่าการเกาะติดอยู่กับรากฐานประเพณีทางพุทธศาสนาของสยามประเทศ คือความอยู่รอด ด้วยสิ่งเหล่านี้ ประชาธิปกจึงสร้างสถาบันกษัตริย์ให้เป็นจุดศูนย์กลางในการบริหารประเทศ ในปี</span> 2475<span lang="TH"><span> </span>ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจในระดับโลก เข้ามาเขย่าสถาบันกษัตริย์ราชวงศ์จักรีให้ชนปะทะกันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ จนต้องพ่ายแพ้ไป</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">แต่รากฐานประเพณีเก่าแก่ยากต่อการเปลี่ยนแปลงให้สูญหายไปได้ เช่น เจ้าฟ้า ชาวนาในชนบท ต่างก็มีความเชื่อถือแบบโบราณว่าอำนาจของจักรวาล จะทำให้เกิดความสมดุลย์ด้วยการมีกษัตริย์ที่มีไหวพริบ และมีความเที่ยงธรรม หรือเป็นคล้ายกับพระพุทธเจ้าหลวง นี่คือความเชื่อ กุศโลบาย อันเป็นพื้นฐานที่กษัตริย์อย่างภูมิพลใช้ในการสถาปณาราชวงศ์ของตนให้คงอยุ่ต่อไปในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">รูปแบบของระบบที่เก่าและศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นภาระหนักที่กษัตริย์ประชาธิปกแบกเอาไว้ในปี </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2475<span lang="TH"><span> </span>อันมีรากฐานมาจากประเพณีที่สืบต่อกันมาจากลัทธิฮินดูของชาวอินเดียที่มีพราหมณ์ และศาสนาพุทธ ที่กระจ่ายเข้ามาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในราวศตวรรษที่สาม ทั้งสองต่างมีรากฐานของนักรบกึ่งเทพเจ้าที่เรียกกันว่ากษัตริย์ อันมีความสามารถทางด้านการรบ และมีความเที่ยงธรรม อย่างไรก็ตามประเพณีทั้งสองไม่เคยแยกออกจากกันได้ในประเทศไทย คุณลักษณะที่เด่นนี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสถาบันกษัตริย์ในปัจจุบันใช้ในการสถาปนาราชวงศ์ของตนเอง</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือ หินยาน (</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">Theravada Buddhist<span lang="TH">) ซึ่งได้รับการรับรองและสนับสนุนอย่างสูงส่งจากรัฐบาล เริ่มตั้งแต่สมัยศตวรรษที่สิบสองในอาณาจักรสุโขทัย<span> </span>อันเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาในการปกครองประเทศโดยมี กษัตริย์ที่เป็นธรรมราชา กษัตริย์ในทางศาสนาพุทธที่มีความสามารถอย่างนักรบ แต่เพื่อคงความศักดิ์สิทธิ์ กษัตริย์จะต้องประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลในธรรม นั้นคือธรรมปกครองโลกไม่ใช่มนุษย์ มนุษย์เป็นเพียงผู้ปฏิบัติไปตามกฎแห่งกรรม ดังที่พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ให้หมุนวงล้อแห่งธรรม</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เพราะว่า ธรรมะคือหนทางสู่สัจธรรม การแสวงหาสัจธรรมต้องมีความบริสุทธิ์ใจ การปฏิบัติตัวให้เข้าถึงสัจธรรมต้องทำตัวให้บริสุทธิ์อย่างเช่นพระพุทธเจ้า การปฏิบัติทำตนให้บริสุทธิ์นั้นทำได้ด้วยการละทิ้งกิเลส และสร้างบุญหรือเป็นผู้ให้ หมั่นทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ วิธีปฏิบัตินั้นทำได้จากหลักการธรรมศาสนา หรือ การปฏิบัติตามหลักศีลธรรม</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">การบรรลุโสดาบันคือการปฏิบัติเข้าถึงหลักของธรรม และในการปฏิบัติตามประเพณีคือการสร้างกรรม หากสร้างกรรมดีก็เป็นผลดีเข้าถึงหลักธรรม หนทางในการปฏิบัติคือการถือศีล เช่น การถือศีลห้า หรือ เบญจศีล เป็น</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><a title="ศีล" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5"><span style="color: windowtext; text-decoration: none;" lang="TH">ศีล</span></a><span lang="TH">ในลำดับเบื้องต้นของพุท</span>ธศาสนา <span lang="TH">ที่ใช้สำหรับฆราวาส หรือ ศาสนิกชนพึงถือ ไม่เฉพาะแต่เหล่าสงฆ์เท่านั้น <span> </span>และศีลแปดสำหรับสามเณรหรืออุบาสกอบาสิกาที่เข้าวัดเข้าวาเพื่อรับธรรมเป็นประจำ แต่สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ที่เคร่งครัดแล้วก็จะถือ </span>227<span lang="TH"> ศีล<span> </span>อันดับในการจัดชั้นวรรณะในคณะสงฆ์ก็ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดถึงระดับโสดาบันสักแค่ไหน ผู้ที่ปฏิบัติถือศีลอย่างเคร่งครัดย่อมมีความเหมาะสมในการแนะนำผู้อื่น หน้าที่สำคัญคือการเผยแพร่ธรรมะด้วยการเทศน์และการประพฤติปฎิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดี และด้วยการปฏิบัติตนเช่นนี้ ทำให้ผู้นั้นสร้างบุญกุศลและเข้าถึงสัจธรรมได้มากขึ้นเท่านั้น</span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทในประเทศสยามคือ การทำบุญสร้างคุณธรรมและความดี เป็นการส่งผลบุญให้มีชีวิตที่ดีในชาติหน้า การมีชีวิตที่ดีในชาตินี้ เป็นผลกรรมที่ทำความดีจากชาติก่อน สำหรับกษัตริย์ธรรมราชานั้นคือการพิสูจน์ให้เห็นถึงผลบุญที่สะสมมาจากชาติก่อน ตราบใดที่กษัตริย์มีความประพฤติปฏิบัติอยู่ในธรรมศาสตร์ เขาผู้นั้นปกครองอย่างเป็นธรรมชาติบนพื้นฐานแห่งความรู้จริงในสัจธรรม เขาผู้นั้นจึงเหมาะสมที่จะเป็นกษัตริย์</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ผู้ที่มีตำแหน่งใกล้เคียงกับกษัตริย์ในศาสนาพุทธนิกายเถรวาท คือพระสัฆราชหรือพระสงฆ์อาวุโสและพระที่ทำธุดงค์เข้าญาณวิปัสสนา โดยทั่วไปเปรียบเทียบเท่ากับพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้า ผู้มีเคร่งครัดปฏิบัติ ปกป้องในศีลธรรม ใครมีอาวุโสมากกว่าใครนั้นระหว่าง พระสงฆ์ที่มีความเคร่งครัดในหลักศีลธรรมทุกๆวัน หรือกษัตริย์ธรรมราชาปฏิบัติเพียงศีลห้าข้อและเคร่งครัดหน่อยในวันพระเท่านั้น โดยหลักการแล้วก็เหมือนว่าพระสงฆ์มีอาวุโสมากกว่า แต่ในทางกลับกันแล้ว เป็นหน้าที่ของกษัตริย์ที่จะทำการปกป้องคุ้มครองสถาบันสงฆ์</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">การที่จะเป็นกษัตริย์ให้มีคุณสมับติทางพุทธศาสนาให้สมกับเป็นธรรมราชาได้นั้น จะต้องปฏิบัติตามกฎทศพิธราชธรรม เพราะว่ากษัตริย์มีภาระหน้าที่ที่จะต้องกระทำ จะให้อยู่สมถะแบบพระสงฆ์องค์เจ้าไม่ได้ ทศพิธราชธรรมคือบัญญัติสิบประการสำหรับกษัตริย์ อันเป็นจริยวัตร10</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span>ประการ ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าราชธรรม10 อันประกอบด้วย</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> ทาน ศีล บริจาค ความซื่อตรง ความอ่อนโยน ความเพียร ความไม่โกรธ ความไม่เบียดเบียน ความอดทน ความยุติธรรม ทศพิธราชธรรมหรือราชธรรมสิบนี้ เปรียบคล้ายกับบารมี10</span><span style="font-family:Times New Roman;font-size:100%;"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">หรือ ทศบารี </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ที่พระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติตนได้อย่างสมบูรณ์ก่อนที่จะบรรลุโสดาบัน ส่วนบารมีคือการมีความสมบูรณ์ทางจิตใจ มีความหมายใช้กันทั้งทางด้านศาสนาพุทธและฮินดู ในปัจจุบันนำมาใช้อ้างอิงกับสถาบันกษัตริย์ให้มีคำแปลอย่างน่าสรรเสริญว่า พระราชบารมี อันเป็นการแสดงถึงความสูงศักดิ์ของกษัตริย์ที่เทียบเท่าพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครสามารถขัดแย้งในอำนาจหน้าที่ที่ศักดิสิทธิ์ของกษัตริย์ได้เหนือกว่าพระสงฆ์<span> </span>ทศพิธราชธรรมทั้ง10</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> หรือราชาธรรม10</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span>คือคุณธรรมของกษัตริย์ อันเป็นหลักเกณฑ์ที่แยกกษัตริย์ออกจากพระสงฆ์</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">การสร้างสถาปนาความเป็นกษัตริย์นั้น ยังต้องอาศัยการสืบต่อราชวงศ์ด้วยสายโลหิตที่แท้ด้วย ประชาชนจะต้องเชื่อถือกับเรื่องราวที่กษัตริย์มีความสามารถนานาประการ และเป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถ ดุจดังเทพเจ้าที่สืบสายโลหิตเดียวกันมาสู่ลูกหลานเหลน<span> </span>ในทางศาสนาพุทธ การเรียนรู้และเข้าถึงพระธรรมคือการปฏิบัติในศีล ไม่ใช่การสืบต่อความรู้ด้วยทางสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นบุคคลที่แม้นจะเป็นชนชั้นต่ำก็สามารถบรรลุถึงพระธรรม และกลายเป็นผู้คงแก่เรียนหรือเป็นกษัตริย์ได้ด้วยการเรียนรู้ และการปฏิบัติเคร่งในศีล สำหรับธรรมราชาที่สร้างสมคุณงามความดีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตกหล่นไปถึงลูกหลานได้ เพราะคุณงามความดีนั้น คงสืบทอดต่อกันไม่ได้จากผู้บังเกิดเกล้า</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในทางความเชื่อโดยทั่วไป ศิษย์ของอาจารย์ย่อมได้รับความบริสุทธิ์จากการสอนธรรม และด้วยความใกล้ชิดในการเสี่ยมสอน อาจารย์ที่เก่งถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์และสร้างชื่อเสียงและบารมีให้กับตนเอง เช่นเดียวกับบุตรของกษัตริย์ที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เป็นปราชญ์ต่อเนื่องกันไป การถ่ายทอดต่อเนื่องกันนี้เป็นการถ่ายทอดที่เรียนรู้และปฏิบัติ หาใช่การถ่ายทอดกันทางสายโลหิตหรือทาง</span><span style="font-family:Times New Roman;font-size:100%;"> DNA </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">แต่การถ่ายทอดในสายโลหิตเดียวกันทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ บุตรหลานของกษัตริย์มีโอกาสเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ และด้วยประการฉะนี้จึงทำให้เกิดการสร้างสถาบันหรือการสร้างราชวงศ์ที่มั่นคงได้อย่างน่าเชื่อถือ</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในทางวัฒนธรรมของพราหมณ์ฮินดู พระพุทธเจ้าคือพราหมณ์ที่กลับชาติมาเกิดเป็นครั้งที่เก้า แต่กษัตริย์ในทางฮินดูมีรากฐานในอาณาจักรขอมโบราณนั้น มีการพัฒนาอย่างตรงไปตรงมาและมีโครงสร้างการปกครองที่แน่นอนมาจากเทวราช ซึ่งในทางพุทธศาสนาไม่มีเทวดาที่แท้จริง มีแต่ธรรมะเท่านั้นคือความจริง และการเรียนรู้ถึงธรรมะคือความสูงสุดของการมีชีวิตอยู่ ความคิดของฮินดูคือการมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรง การมีตัวตนเป็นอัตตา หรือ อาตมัน และในตัวตนนั้นคือการค้นพบความจริงของร่างและวัตถุประสงค์ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน การเข้าใจในตัวตนคือการเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างหรือนิพพานของฮินดู</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในทางศาสนาฮินดูนั้น มนุษย์ต่างเวียนว่ายตายเกิดในหลายชั้นวรรณะ ซึ่งเป็นสังสารวัฏให้เข้าใจในตัวตนยิ่งขึ้น การเกิดในวรรณะที่สูงเป็นการสืบทอดสายโลหิตที่ยิ่งใหญ่ ความเชื่อในเทวดาของชาวฮินดูจึงสืบต่อไปสู่ลูกหลานที่เกิดขึ้นมา นี่คือความเชื่อที่ว่าเทวดากลับชาติมาเกิดเพื่อสืบทอดสายโลหิตกันต่อไป</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">พูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว กษัตริย์ในความเชื่อถือของศาสนาฮินดู จะมีความแข็งแกร่งน่าเลื่อมใสกว่าในทางศาสนาพุทธ ซึ่งมีความหมายเพียงแต่เป็นผู้นำที่หมุนวงล้อแห่งธรรมะให้แก่ประชาชน แต่เทวดาในศาสนาฮินดูคือผู้ก่อสร้างสถาปนากฎเกณฑ์และความเป็นอยู่ของสังคม เทวดาคือผู้ปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างครอบจักรวาล อย่างเช่นพระศิวะ ที่ควบคุมดินฟ้าอากาศ นำฝนโปรยปรายในยามแล้ง ทำให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์ และทำให้หญิงตั้งครรภ์ อย่างที่นาย</span><span style="font-family:Times New Roman;font-size:100%;"> John Girling</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> นักสังคมศาสตร์ได้เขียนเอาไว้ว่า </span><span style="font-family:Times New Roman;font-size:100%;">“</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">พิธีการในการปกครองคือการทำพิธีกรรมต่างๆในโลกด้วยอำนาจจากจักรวาล คือการสร้างอาณาจักรให้เป็นเมืองของเล่นขนาดเล็ก และสร้างวังให้เป็นดังเขาเมรุที่ศักดิ์สิทธิ์ เมืองของเทวดา โดยให้บรรดารัฐมนตรีทั้งสี่ประดับมุมทั้งสี่มุมของจักรวาล ทำเมืองหลวงให้ดุจดังเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศ มันยิ่งใหญ่กว่าสังคมการเมืองและจุดรวมของวัฒนธรรม แต่เป็นจุดอันศักดิ์สิทธิ์อันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งหมด"</span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กษัตริย์ในทางศาสนาฮินดู มีพราหมณ์ซึ่งถือว่าเป็นชนวรรณะสูงเป็นฐานประกอบอำนาจ พราหมณ์สักการะบูชาเทวราช ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการปกครอง ทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ที่ปรีกษาทางการกระทำพิธีการต่างๆเพื่อให้กษัตริย์ดูยิ่งใหญ่น่าเลื่อมใสอย่างพระเจ้า<span> </span>กษัตริย์เขมรใช้หินสลักเป็นรูปศิวลึงค์มาประดับเพื่อแสดงถึงเทพเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นสัญญลักษณ์พระศิวะและกษัตริย์บนโลก หินสลักรูปศิวลึงค์มีตั้งไว้ตามถนนในทุกมุมเมือง ในวัด และบนยอดเขา</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ประเพณีทั้งสองถูกนำมาใช้ในการประกอบพิธีต่างๆปะปนกันไปกับศาสนาพุทธนิกายมหายานที่เชื่อในอาณาจักรขอม และชาวไท มอญ ที่เข้ามาในประเทศสยามในศัตวรรษที่สิบสาม หลังจากอาณาจักรขอมเสื่อมลง ซึ่งรวมทั้งอาณาจักรสุโขทัยทางภาคกลางด้านบน ในการสถาปนาราชวงศ์จักรี ได้มีการสืบรากบรรพบุรุษกันไปถึง กษัตริย์คนที่สามของสุโขทัยคือ รามคำแหง อันเป็นชื่อที่มาจากตำนานรามเกียรติ์ ปกครองในระหว่างปี 1820</span><span style="font-family:Times New Roman;font-size:100%;"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ถึง ปี 1860 </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กษัตริย์รามคำแหงคือนักรบที่สร้างพื้นที่เล็กๆให้กลายเป็นเมืองใหญ่ที่มั่งคั่ง<span> </span>อาณาจักรสุโขทัยสร้างขึ้นจากพื้นฐานความเชื่อทางฮินดู และศาสนาพุทธนิกายมหายาน แต่ในช่วงต้นๆของสุโขทัย กษัตริย์องค์ก่อนๆได้รับเอาอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายเถรยานมาใช้ โดยพระสงฆ์จากศรีลังกาได้นำเอาเข้ามาเผยแพร่ อันเป็นการเริ่มต้นพื้นฐานของวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กษัตริย์รามคำแหงใช้การปกครองแบบการเกลี้ยกล่อม โดยใช้ศาสนาพุทธเอามาเป็นวัฒนธรรมในการปกครองประเทศให้เป็นปึกแผ่น ท่านสร้างวัดวาให้กับคณะสงฆ์ และท่านเป็นผู้นำพิธีการทำบุญให้ทานเช่นงานกฐิน งานพิธีที่ชาวบ้านเอาของไปถวายวัด</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">หลังจากที่หมดพรรษา จากหลักฐานอ้างอิงของหลักศิลาจารึกได้บันทึกเอาไว้ตอนหนึ่งว่า</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">"เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในน้ำมีปลา</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในนามีข้าว</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใคร่จักใคร่ค้าช้าง</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแล้ ล้มตายหายกว่าเหย้าเรือนพ่อเชื้อเสื้อคำมัน</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ช้างขอลูกเมียเยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไท ป่าหมากพลูพ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมันสิ้น</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ไพร่ฟ้าลูกเจ้าลูกขุน ผิแลผิดแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล้ จึ่งแล่งความแก่ขาด้วยซื้อ</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน เห็นข้าวท่านบ่ใครพีน เห็นสินท่านบ่ใครเดือด</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ช่อยเหนือเฟื้อกู้ มันบ่มีช้างบ่มีม้า บ่มีปั่วบ่มีนาง</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">บ่มีเงือนบ่มีทอง ให้แก่มัน ช่อยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง ได้ข้าเสือก ข้าเสือ</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" lang="TH"> </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">หัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่ฆ่าบ่ตี<span> </span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมืองมีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจมันจะกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ง</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">อันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียกเมือถาม สวนความแก่มันโดยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม"</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH">ในความหมายปัจจุบัน เป็นการปกครองที่เรียกว่าบิดาธิปไตยหรือการปกครองอย่างบิดาปกครองบุตร ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาของชาวไท กษัตริย์ถือได้ว่าเป็นทั้งพ่อและตุลาการและเป็นแหล่งของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของประเทศด้วย สำนักราชวังของกษัตริย์ภูมิพลจึงเรียกพ่อขุนรามคำแหงว่าเป็นกษัตริย์ที่ปกครองแบบประชาธิปไตยคนแรก และได้นำไปใช้เป็นวัฒนธรรมการปกครองประเทศไทยต่อเนื่องกันมาตลอดราชวงศ์จักรี</span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">แม้นกระนั้น การรับเอาศาสนาพุทธนิกายหินยานหรือเถรวาท(Theravadism)มาใช้ ทำให้ราชบัลลังก์สุโขทัยอ่อนแอลง เพราะไม่เน้นไปในหลักการทางศาสนาฮินดูให้ตัวกษัตริย์มีความเทียบเท่ากับเป็นเทพเจ้า ราชวงศ์สุโขทัยใช้หลักการตามศาสนาพุทธคือใช้ธรรมราชาเป็นหลักการสถาปนาราชวงศ์ ซึ่งมีความหมายบันทึกไว้ในไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเชื่อกันว่าเขียนไว้โดยกษัตริย์ลิไทย(พระมหาธรรมราชาที่</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"> 1<span lang="TH">) ที่สืบราชบัลลังก์ต่อจากพ่อขุนรามคำแหง ได้แต่งไตรภูมิพระร่วงขึ้น มีสาระสำคัญ คือ เขียนพรรณาถึงเรื่องการเกิด การตาย ของสัตว์ทั้งหลายว่า การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิทั้งสาม(กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ) ด้วยอำนาจของบุญและบาปที่ตนได้กระทำแล้ว </span><span lang="TH">ที่สำคัญคือเป็นเรื่องราวตัวอย่างของพระร่วงอันเป็นรากฐานสำคัญของการสืบต่อความเป็นกษัตริย์</span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ไตรภูมิพระร่วงไม่ใช้เรื่องราวใหม่ในทางพุทธศาสนา หากเป็นเรื่องราวที่นำเอาความคิดในตำนานทางพุทธศาสนาและทางฮินดูมาเปรียบเปรยให้ชาวบ้านเข้าใจกัน เป็นเรื่องราวให้ผู้อ่านผู้ฟังยำเกรงในการกระทำบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดีในการทำบุญทำกุศล อาจหาญมุ่งมั่นในการกระทำคุณงามความดีในโลกนี้ และกฎในการสร้างคุณงามความดีของกษัตริย์ก็คือทศพิธราชธรรม</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">10<span lang="TH"> อย่างที่กษัตริย์ลิไทยได้เขียนอ้างไว้ว่าเป็นดินแดนที่พระพุทธเจ้าได้เลือกเอาไว้ หรือพระพุทธเจ้าคือกษัตริย์คนแรก ดังนั้นกษัตริย์ที่สืบทอดราชวงศ์ต่อๆมาคือสายเลือดของพระพุทธเจ้าหรือสายเลือดทางวิญญาณ ที่สืบทอดกันมาด้วยผลแห่งการสร้างบุญ ในกรณีที่ปราศจากตัวของพระพุทธเจ้า ก็ขอให้เป็นดังที่เคยมีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่คือจักรวาที</span>(Cakkavati King)<span lang="TH">ที่คอยหมุนวงล้อแห่งธรรมะ(ธรรมจักร) ในไตรภูมิพระร่วงได้กล่าวไว้ว่า </span>“<span lang="TH"> รู้จักบุญกุศลและธรรม และสอนคนอื่นให้รู้ถึงธรรมะ อย่างที่พระพุทธเจ้าได้เกิดมาเพื่อสอนธรรมะ..........จะไม่มียักษ์ มาร สัตว์ร้าย เข้ามาสิ่งสู่แด่ผู้หมุนกงล้อธรรมจักร เพราะว่าตัวมารกลัวอำนาจและความดีของธรรมจักร</span>”</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH">นี่เป็นหลักการที่ใช้ได้ผลในการปกครองโดยระบบกษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุดของแผ่นดิน โดยการให้ความเทียบเท่าระหว่างการเป็นกษัตริย์และพระพุทธเจ้า หรือเกือบเท่ากับเทวดา หนังสือไตรภูมิพระร่วงให้ความศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์อยู่เหนือแผ่นดิน โดยการเอาความรู้คิดเรื่องผลบุญผลกรรมมาเปรียบเทียบ และวางรากฐานอันดับของชนชั้น คือชนชั้นสูงย่อมมีบุญมากกว่าชนชั้นต่ำเป็นต้น ไตรภูมิพระร่วงบ่งบอกถึงการสร้างบุญกุศลจากชาติก่อน อันนำเป็นผลของชีวิตที่ดีในชาติหน้า(เป็นไปได้ว่า โดยการนำเอาผลบุญมาแอบอ้าง ทำให้ผุ้ปกครองมีโอกาสได้รับผลประโยชน์ต่างๆนานาง่ายขึ้น เช่น อาหาร<span> </span>ชาวบ้านถูกหลอกให้นำเอาข้าวสารและนำอาหารไปถวายทำบุญให้แก่วัดวาอาราม<span> </span>รวมทั้งเงินทองบริจาคให้แก่กษัตริย์ธรรมราชา)</span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ผู้ปกครองอาณาจักรสุโขทัยไม่ได้ละทิ้งประเพณีและความเชื่อในเทวดาตามศาสนาฮินดูไปเสียหมด แต่ยังทำการปฎิบัติตามประเพณีให้ดูเปล่งปลั้งยิ่งขึ้นแด่กษัตริย์ อันเป็นผลให้บรรดาราชนิกูลมีความน่าเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปอีก ถึงแม้นว่าท้ายที่สุดสุโขทัยจะเสื่อมลงและอยุธยาขึ้นมาแทนที เป็นเวลากว่าสี่ร้อยปีที่อยุธยาเติบโตแข็งแกร่งเบ่งบาน จนเป็นรูปฐานทางภูมิศาสตร์การเมืองให้แก่ประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเหมือนเส้นทางเชื่อมต่อของศาสนา วัฒนธรรม ต่างๆนานา ในสมัยอยุธยาทั้งศาสนาพุทธและประเพณีทางฮินดูได้มีส่วนร่วม ในการเสริมสร้างอำนาจให้แก่สถาบันกษัตริย์ แต่ก็ยังน้อยกว่าสมัยสุโขทัย</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในสมัยพระเจ้าอู่ทองกษัตริย์คนแรกของอยุธยา ได้เชิญพราหมณ์มาจากประเทศอินเดียหลายคนในการทำพิธีราชาภิเษกในปี พ.ศ.</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">1894<span lang="TH"> ซึ่งเป็นการเปรียบตัวเองเช่นเดียวกับเทวดา และได้ตั้งชื่อตนเองว่า รามาธิบดี อันเป็นชื่อที่นำเอามาจากชื่อของพระรามในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์<span> </span>กษัตริย์อู่ทองยังปฏิบัติตนเจริญรอยตามตำแหน่งธรรมราชา อย่างเช่นกษัตริย์ลิไทยในสมัยสุโขทัย กษัตริย์อู่ทองได้ทำการอุปถัมภ์บรรดาสงฆ์ สร้างวัดวาอารามขึ้นใหม่มากมาย และยังนำเอาพิธีการทางศาสนาพุทธมาปฏิบัติด้วย</span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในกลางศตวรรษที่สิบห้าคือสมัยพระบรมไตรโลกนาถ บรรดานักประวัติศาสตร์เชื่อว่าเป็นช่วงที่อยุธยาเจริญถึงที่สุด เป็นจุดศูนย์กลางทีมีการจัดอันดับทางสังคม ซึ่งเป็นไปในทางฮินดูมากกว่าศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับกษัตริย์ลิไทย ไตรโลกนาถก็แสดงตัวให้เป็นเช่นพระพุทธเจ้าเช่นกัน โดยการจัดการเรียบเรียงหนังสือมหาชาติคำหลวงขึ้นใหม่ อันเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าในชาติก่อนที่เป็นพระโพธิสัตย์ ก่อนที่จะทำการตรัสรู้ได้ เนื้อหาในการปรับปรุงใหม่ เน้นไปที่เนื้อหาของไตรภูมิพระร่วงว่า พระเวสสันดร</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">(Vessantara)<span lang="TH"> ได้กลับชาติมาเกิดเป็นพระบรมไตรโลกนาถคือตัวกษัตริย์ไตรโลกนาถนั้นเอง แต่กษัตริย์ไตรโลกนาถก็ไม่ได้เอาศาสนาพุทธมาเป็นรากฐานของความเป็นกษัตริย์ นักประวัติศาสตร์หลายคนคิดว่า ในราวต้นปี </span>2143<span lang="TH"> กษัตริย์ปราสาททองได้นำเอาความเชื่อทางฮินดูมาใช้ในการสถาปนาตนเองให้สูงส่งยิ่งขึ้น โดยไม่ได้ตัดเอาความเชื่อครอบจักรวาลทางพุทธศาสนาออกไป</span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">จากหลักฐานที่บันทึกในประวัติศาสตร์ได้เน้นให้เห็นว่า<span> </span>ทั้งประเพณีทางศาสนาฮินดู และพุทธได้ใช้ผสมปะปนกันให้เป็นฐานอำนาจสนับสนุนสถาบันกษัตริย์อย่างต่อเนื่องกันมา ทำให้กษัตริย์มีอำนาจบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ ความสมดุลย์ระหว่างสองศาสนานั้นก็ขึ้นอยู่กับความคิดดัดแปลงสร้างสรรของตัวกษัตริย์เอง ความเชื่อในศาสนาพุทธเกี่ยวกับดวงดาวครอบจักรวาลต่างๆอันเป็นผลทางโชคชะตาราศี เป็นรากฐานของกษัตริย์ธรรมราชาที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามกฎทศพิธราชธรรม กษัตริย์ต้องทำบุญทำทานถวายพระสงฆ์องค์เจ้า ทำพิธีกฐิน เช่นเดียวกับกษัตริย์ไตรโลกนาถที่ลาออกบวชในระยะสั้น และโดยทั่วไปแล้วในราชอาณาจักรนี้มีความเชื่อกันว่า การทำพิธีปฏิบัติตามศาสนาพุทธเป็นการแสดงความซื่อสัตย์ต่อสถาบันกษัตริย์ และสร้างผลผลิตของชาวไร่ชาวนาให้มากขี้น</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">พิธีการต่างๆบนพื้นฐานทางศาสนาฮินดู ได้รวมเอาเทวดาเข้าไปเป็นการเสริมภาพพจน์ของกษัตริย์ ทำให้สถาบันกษัตร์ย์ดูน่ากลัวและน่าเกรงขามยิ่งขึ้น<span> ต่าง</span>ประดิษฐ์ประดอยยกยอตำแหน่งให้กษัตริย์เป็นเจ้าแผ่นดิน และ เจ้าชีวิต ผู้เป็นเจ้าของมวลสรรพสิ่งทั้งหลายดังเทพเจ้าที่ประทานชีวิต สภาพลมฟ้าอากาศ ความอุดมสมบูรณ์ และความมั่งคั่ง ข้อห้ามตามความเชื่อของพราหมณ์ได้ถูกนำมาบังคับใช้เช่น ห้ามมองดูหน้าของบรรดาราชนิกูล หากขัดขืนอาจมีโทษถึงตายได้ ภาษาที่ใช้กันในวังและการทำพิธีต่างๆก็เป็นภาษาของพราหมณ์ ที่ปะปนกันระหว่างสันสกฤตกับภาษาขอม เพื่อนำมาใช้เตือนกันถึงสายโลหิตที่มีความสูงศักดิ์ ในฐานันดรของราชนิกูล อันมีความสำคัญยิ่งในการปกครองโดยระบบราชวงศ์ตลอดชั่วกัลปาวสาร</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">การผสมปะปนกันในพิธีการต่างๆของสองศาสนาเป็นการสืบสายพันธุ์ของกษัตริย์<span> </span>นาย</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"> David Wyatt<span lang="TH"> นักประวัติศาสตร์ได้อธิบายไว้ว่า</span> “<span lang="TH">หลักการสั่งสอนของศาสนาพุทธเป็นปัจจัยสำคัญต่อดวงชะตาราศีในทางพราหมณ์<span> </span>มุ่งหมายให้กษัตริย์มีความประพฤติอยู่ในศีลธรรมจนถึงที่สุดคือให้กลมกลืนกันกับคำสอนธรรมจรรยาในพุทธศาสนา ความเชื่อของพราหมณ์ฮินดูในเรื่องเทวดานั้น เปรียบเทียบให้กษัตริย์เป็นพระเจ้า เป็นการปรับปรุงเสริมแต่งให้กษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของพิธีการ</span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH">ต่างๆ ขณะที่ความศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาพุทธให้การรับรองว่ากษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งของผู้ประพฤติตามหลักทางศีลธรรม"</span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH">ยิ่งกว่านั้น กุญแจแห่งอำนาจในสมัยอยุธยาคือการควบคุมความมั่งคั่งของแผ่นดิน เพราะอยุธยาตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางเป็นดังเกาะใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ความสำเร็จของอยุธยาคือเป็นแหล่งโกดังซื้อขายที่สำคัญทางน้ำในเขตเอเชียตะวันออก นำเอาพ่อค้าจากเมืองจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เปอร์เซีย และจากพวกยุโรปในศตวรรษที่สิบหก เมืองอยุธยามีความสำเร็จทางการค้าอย่างมาก ทำให้บรรดากษัตริย์ต่างดิ้นรนในการเข้าควบคุมการค้าแบบจำกัดและผูกขาดของตนเอง เพื่อควบคุมพื้นที่ดินและคนทำงาน ครอบครัวหลายครอบครัว รวมทั้งชาวต่างชาติสร้างความมั่นคั่งโดยการทำการสนิทสนมกับเหล่าราชนิกูลและขุนนาง ซึ่งกลายเป็นคู่แข่งกับสถาบันในการคุมความมั่งคั่งและอำนาจ</span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เรื่องราวในวังสมัยอยุธยาเป็นเรื่องที่โกลาหลและเต็มไปด้วยเลือด ในการช่วงชิงราชบัลลังก์ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวการลอบปลงพระชนม์ เป็นสิ่งที่เขย่าขวัญเกิดขึ้นบ่อยๆจนเป็นธรรมดา ระหว่างกษัตริย์กับ</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เจ้าฟ้าและราชินี หรือการลอบฆ่าเจ้าฟ้าโดยกษัตริย์กับราชินี หรือการฆ่ากันระหว่างเจ้าฟ้ากับเจ้าฟ้าด้วยกันเอง เป็นต้น<span> </span>เป็นเวลาเกินกว่าสี่ศตวรรษ อยุธยามีกษัตริย์ทั้งหมด </span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">35 <span lang="TH">องค์ โดยเฉลี่ย</span> 11 <span lang="TH">ปีต่อหนึ่งสมัย ในทางตรงกันข้าม ตั้งแต่ปี พ.ศ.</span>2310<span lang="TH"> หากกรุงเทพมีผู้ปกครองราวสิบคน เฉลี่ย </span>24<span lang="TH"> ปีต่อหนึ่งสมัย</span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">การต่อสู้ชิงอำนาจกันในอยุธยา น้อยนักที่เป็นการต่อสู้เพื่อสืบต่อสายโลหิตของราชวงศ์ แต่มีหลายครั้งที่มีการกบฏจากฝีมือคนภายนอก เพื่อให้ได้ตำแหน่งของกษัตริย์มาครองอย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ จึงมีการจับแต่งงานระหว่างภรรยา น้องสาว ลูกสาว ของกษัตริย์องค์ก่อน ดังนั้นความชัดแจ้งของการสืบสันตติวงศ์จึงไม่มีปรากฎออกมาได้อย่างแน่ชัด</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt;"><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ท้ายที่สุด อาณาจักรอยุธยาอ่อนแอลงไปเพราะการแก่งแย่งเพื่อให้ได้มาในอำนาจและความมั่งคั่ง หลังจากหนึ่งปีที่ถูกปิดล้อม ในเดือนเมษายน พ.ศ.</span><span style="font-size: 14pt; font-family: 'Angsana New';">2310 <span lang="TH">กองกำลังทหารพม่าก็ตีผ่านเข้ากำแพงเมืองอยุธยา เข้ามาทำลายปราสาท และตัวเมืองได้สำเร็จ พม่าทำลายราชวัง เจดีย์ วัดวาอาราม รูปปั้นต่างๆ และชาวเมืองอยุธยาต่างพากันหนีกระจัดกระจายกันไปสู่ชนบท และอาณาจักรอยุธยาก็ได้ถึงวาระแห่งการสิ้นสุดลงโดยฉะนั้น</span></span></span></span></p></span></span></div></div></div></div>TKNShttp://www.blogger.com/profile/07270010479047374707noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3549628732487738062.post-33464375860584409102007-09-04T12:21:00.000-07:002007-09-04T12:23:00.032-07:00บทนำ (Introduction)ภาพที่ดูฝ้ามัว เสียงที่ฟังไม่ชัดเจน ดูแล้วทำให้นึกถึงโทรทัศน์เมื่อสี่สิบปีก่อน เป็นภาพชายสองคนหมอบกราบบนพื้นพรมหนา คนหนึ่งใส่เสื้อผ้าหยาบๆไม่สวยหรู่สีครามแบบชุดชาวนา อีกคนหนึ่งใส่ชุดสูทเสื้อนอกอย่างนักธุรกิจ ทั้งสองคนนั่งพับเพียบเหมือนอย่างกับคนว่านอนสอนง่าย ทั้งสองคนหงายหน้าจ้องมองดูบุคคลที่นั่งตระหง่านอยู่บนเก้าอี้นวมปิดทอง<br /><br />ด้วยบริพารหมอบราบขนาบข้าง บุคคลที่นั่งอยู่กล่าวกับชายทั้งสองด้วยน้ำเสียงที่อยู่ในลำคอ เสียงนั้นดังฟังชัด สุขุมเหมือนดังผู้ที่เป็นพ่อ เป็นน้ำเสียงที่หนักแน่นดังคำบัญชา ตำหนิลูกๆที่ เอาแต่ทะเลาะกัน จนต้องออกมาว่ากล่าวตักเตือนกันต่อหน้าสาธารณชน<br /><br />ชายทั้งสองนั้น หาใช่พี่น้องหรือลูกหลานไม่ ความผิดนั้นก็คงจะไม่น้อยนัก คนที่ใส่สูทชุดเสื้อนอกนั้นคือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย นายพลสี่ดาวจอมโกงกินทุจริตที่ชื่อว่า พลเอก สุจินดา คราประยูร อีกคนหนึ่งเป็นนักการเมืองที่ทำตัวเป็นฤษีสมถะชื่อว่า นายจำลอง ศรีเมือง ผู้นำฝูงชนเดินขบวนประท้วง สุจินดา มาหลายอาทิตย์แล้ว เมื่อสองวันที่ผ่านมา คือวันที่ 18 พฤษภาคม 2535 สุจินดาได้สั่งการให้ทหารระดมยิงปืนกราดใส่ผู้เดินขบวน จนมีผู้คนบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมากหลายร้อยคน ในขณะเดียวกันนั้น กองกำลังทหารของสุจินดาได้เคลื่อนกำลังเข้าไปล้อมมหาวิทยาลัย ที่มีนักศึกษาจำนวนหลายพันคนรวมตัวกันลุกขึ้นประจันหน้า ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณที่จะยอมลดลาวาศอกกัน<br /><br />ชายสองคนนั้นนั่งพับเพียบเคียงข้างกัน ก้มลงกราบผู้ที่มีลักษณะคล้ายกับผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ตรงกลาง ผู้ซึ่งไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในด้านการเมือง และไม่มีอำนาจบัญชาการทหาร บุคคลผู้นั้นคือภูมิพล อดุลยเดช กษัตริย์องค์ที่เก้าของราชวงศ์จักรี บุคคลที่ไม่มีใครรู้จักนักนอกประเทศไทย ผู้นั่งฉลองราชบัลลังก์มาแล้วถึง 46 ปี และในไม่ช้านี้ก็จะได้รับตำแหน่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ได้ยาวนานที่สุดในโลก<br /><br />ขณะที่โทรทัศน์บันทึกภาพเหตุการณ์เหล่านี้ กษัตริย์ภูมิพล กล่าวตักเตือนสุจินดา และจำลอง ที่ปล่อยให้โทสะและความเห็นแก่ตัวออกมาแก้แค้นกัน มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบและความรักชาติที่จะต้องยุติเลิกรากันไป ก่อนที่ประเทศชาติจะถูกทำลายให้ล่มจม<br /><br />เสียงที่ตะกุกตะกักฟังไม่เหมือนคำสั่งหรือเรียกร้องอะไร แต่ว่าภายในไม่กี่ชั่วโมงความรุนแรงก็สงบลง บรรดาทหารและผู้เดินขบวนต่างเดินทางกลับบ้าน อีกทั้งสุจินดา และจำลอง ต่างถอนตัวออกจากวงการเมือง หนังสือพิมพ์ Washington Post ได้พาดหัวข่าวในวันรุ่งขึ้นอย่างน่าชื่นชมว่า "ใครจะลืมภาพพจน์นี้ไปได้ เมื่อทรราชกับนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามนั่งสยบเข่าต่อหน้านายหลวงของประเทศไทย"<br /><br />หากเป็นสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ กษัตริย์ภูมิพลอาจถูกปัดปฏิเสธอย่างน่าอัปยศอดสูจากนายพลอย่างสุจินดา จริงๆแล้วเมื่อเกือบถึงเวลาเดินทางกลับมารับราชบัลลังก์ในเดือนธันวาคม 2494 เหล่านายพลที่ทุจริตพากันยึดอำนาจจากรัฐบาล ตัดทอนอำนาจสิทธิพิเศษของกษัตริย์ และข่มขู่ว่าจะล้มล้างราชบัลลังก์หากไม่ร่วมมือด้วย เหตุการณ์รัฐประหารในครั้งนั้น เหมือนดังเมฆดำครอบงำกษัตริย์หนุ่มมานานหลายปี<br /><br />สี่สิบปีต่อมา แม้นว่าจะมีอำนาจเพียงน้อยนิดในพระราชบัญญัติ กษัตริย์ภูมิพลได้เพิ่มพูนบารมี จนผู้ที่มีอำนาจที่สุดในประเทศยังต้องสยบอยู่ใต้เบื้องพระบาท ด้วยวาจาที่สุขุมเพียงไม่กี่คำ ท่านก็สามารถบอกให้คนหายไปจากวงการเมือง และยุติการนองเลือดกันบนท้องถนนบนราชอาณาจักรของท่าน ท่ามกลางสถาบันกฎหมาย รัฐสภา ศาลสถิตยุติธรรม ศาสนา สังคม ผู้นำธุรกิจ มีเพียงกษัตริย์ภูมิพลเท่านั้นที่มีบารมีที่สูงส่ง ลอยเหนือความปั่นป่วนวุ่นวายทั้งปวง และทำให้ประเทศชาติมีความสงบลมเย็นมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน<br /><br />เย็นวันนั้น เดือนพฤษภาคม ปี 2535 คือผลงานที่โดดเด่นสูงสุดในชีวิตของกษัตริย์ภูมิพล เมื่อท่านเข้ารับตำแหน่งกษัตริย์ในปี 2489 หลังจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ของกษัตริย์อานันท มหิดล ผู้เป็นพี่ชาย สถาบันกษัตริย์ไทยอยู่บนเงื้อมผาเกือบถึงขั้นอวสานไปแล้ว เพราะการปกครองที่อ่อนแอของสองกษัตริย์ที่ผ่านมา และสิบสี่ปีที่ตำแหน่งกษัตริย์ว่างเปล่า ราชวงศ์จักรีควรที่จะถูกลบให้สูญหายไปอย่างง่ายๆจากแวดวงการเมืองภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพียงอายุได้สิบแปดปี กษัตริย์ภูมิพลต้องแบกภาระรับผิดชอบ ไม่เพียงแค่กอบกู้สถาบันกษัตริย์คืนมา แต่ยังต้องพัฒนาปรับปรุงให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกอีกด้วย<br /><br />เหตุการณ์การเดินขบวนประท้วงในปี 2535 นั้น ท่านได้ก้าวเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากยิ่งขึ้น ในช่วงที่ห้าสิบปีของการขึ้นครองราชย์ กษัตริย์ภูมิพลของชาวไทยได้กลายเป็นกษัตริย์ที่มีความศักดิ์สิทธ์ และมีไหวพริบปฏิภาณปราดเปรื่องจนหาที่เปรียบไม่ได้ ท่านได้เจือจางปัญหาต่างๆที่ยากต่อการแก้ไข ในต่างประเทศ ท่านคือตัวแทนของกษัตริย์ที่ครองราชย์มาได้อย่างคงทนและยาวนาน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของลัทธิก้าวหน้าระบอบประชาธิปไตย และทุนนิยม สำหรับประชาชนไทยแล้ว กษัตริย์ภูมิพลเป็นเหมือนดัง พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด หรือเป็นดังเช่นเทวดา<br /><br />เรื่องราวการสร้างอำนาจ บารมี และปฏิสังขรณ์ระบอบราชาธิปไตยของกษัตริย์ภูมิพลเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ไม่เคยมีใครเล่ามาก่อนในศตวรรษที่ยี่สิบ ภูมิพลไม่คิดมาก่อนว่าตนจะได้เป็นผู้สืบราชวงศ์เป็นกษัตริย์แห่งประเทศไทย ท่านเกิดในประเทศอเมริกา บิดาถึงแก่กรรมเมื่อท่านอายุได้หนึ่งขวบ ท่านเติบโตในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ด้วยการเลี้ยงดูของมารดาที่เป็นคนสามัญ ที่อึกอักไม่มั่นใจเตรียมตัวให้อานันทผู้เป็นพี่ชายเพิ่งอายุได้สองขวบ สวมมงกุฎกษัตริย์ที่ไม่มีโอกาสจะได้สวม<br /><br />หลังจากรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นปู่ได้ถึงแก่กรรมในปี 2453 สถาบันกษัตริย์จึงเริ่มมีการสึกกร่อนลงทัน เนื่องจากความละโมบ ความไม่เหมาะสม และไร้ความสามารถ ทั้งด้านสุขภาพร่างกาย และด้านการเมือง ในช่วงที่ภูมิพลเกิดที่เมือง Boston รัฐ Massachusett นั้น บรรดาราชวงศ์กษัตริย์ไทยก็เกือบจะสูญพันธ์กันไปแล้ว เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า เวียดนาม และอินเดีย และสยามประเทศได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทั้งด้านประเพณี การเมืองและเศรษฐกิจ จนเกินกว่าเจ้าชายหนุ่มทั้งสองจะรับได้<br /><br />ในปี 2475 กลุ่มข้าราชการผู้มีการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส ได้ทำการโค้นล้มระบบราชาธิปไตยของประเทศไทยในรัชกาลที่ 7อันเป็นลุงของกษัตริย์ภูมิพล และได้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้อย่างหละหลวมตามรูปแบบการปกครองประเทศของอังกฤษ โดยมีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญหรือเป็นหุ่นเชิด อยู่นอกวัง พวกราชวงศ์ทั้งหลายต่างหมดอำนาจและฐานันดร หลังจากความล้มเหลวในการกู้อำนาจของราชวงศ์คืนมา บรรดาราชวงศ์ทั้งหลาย จึงต้องหนีภัยไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ตำแหน่งกษัตริย์จึงตกอยู่ในตำแหน่งที่ว่างเปล่าและมีเพียงชื่อที่หลงเหลืออยู่กับบัลลังก์เท่านั้น เพื่อเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงประเทศ คณะปฎิวัติจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศตามที่ทางราชวงศ์ชื่นชอบจากสยาม มาเป็นประเทศไทย เพื่อให้ทันสมัยยิ่งขึ้น<br /><br />ในปี 2478 สมเด็จประชาธิปกคือรัชการที่ 7 ผู้สูญเสียอำนาจ ได้สละตำแหน่งในราชวงศ์จักรีให้กับอานันท ผู้ซึ่งอายุได้เพียง 10 ปี และทำให้ภูมิพลอยู่ในตำแหน่งถัดต่อมา แต่ดูเหมือนว่าอานันทไม่มีวาสนาที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ทองแปดด้านในกรุงเทพ อำนาจได้หลุดไปอยู่ในมือของ จอมพล ป พิบูลสงคราม ผู้นับถือ นโปเลียน และมีรูปถ่ายลายเซ็นของมูซโซลินี่แขวนอยู่เหนือโต๊ะที่ทำงาน จอมพล ป ไม่ชอบระบบกษัตริย์และเจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย จึงหันไปใช้แนวทางที่ทันสมัยอย่างประเทศเยอร์มัน และญี่ปุ่น ซึ่งสะสมกองกำลังทหารที่มีเลือดรักชาติ<br /><br />เด็กทั้งสองไม่เหมาะที่จะเป็นกษัตริย์ อานันทเกิดในประเทศเยอรมันนี เมื่อเจ้าฟ้ามหิดลผู้เป็นพ่อตายตอนเป็นหนุ่ม เด็กทั้งสองเติบโตที่เมืองลูซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จากแม่ซึ่งเป็นสามัญชนคนธรรมดาชื่อว่าสังวาลย์ โดยกฎหมายขอบประเทศสยาม สังวาลย์ซึ่งเป็นคนสามัญเชื้อสายจีน จึงทำให้เกิดข้อกังขาว่าเด็กทั้งสองคน มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้สืบสันตติวงศ์หรือไม่<br /><br />ในเมืองลูซาน อานันท และภูมิพลเล่าเรียนภาษาฝรั่งเศส ลาติน และเยอร์มัน ไม่ได้ใช้ภาษาในเชิงพุทธศาสนาอย่างไทย หรือบาลี ทั้งสองชอบเดินป่า ขึ้นเขาที่มีหิมะปกคลุมบนยอด ขณะที่เด็กไทยส่วนมากวิ่งเล่นกันกับควายในทุ่งนา เมื่อตอนเป็นเด็กวัยรุ่น ต่างมีจิตใจฝักใฝ่กับสงครามโลกครั้งที่สอง รถยนต์ และเพลงจากอเมริกา เมื่อสงครามยุติลง เด็กทั้งสองย่อมมีความเหมาะสมกับสังคมชั้นสูงในยุโรป ไม่ใช่สังคมที่เป็นพุทธศาสนาใส่ผ้าเหลือง ที่มีบ้านเรือนที่ยากจน และชื่อภูมิพลคงไม่มีโอกาสบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ประเทศเลยก็ได้<br /><br />หลังจาก จอมพล ป ล้มเลิกการปกครองประเทศจากระบบเจ้าขุนมูลนาย และหมดอำนาจลงไปในปี 2487 บรรดาผู้ที่มีเชื้อสายราชวงศ์ที่จะสืบทอดกันต่อไปเหลือน้อยนิด อำนาจและทรัพย์สมบัติของกษัตริย์ถูกยึดไปจนหมดแล้ว ตำแหน่งผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์นั้นร่อยหรอ อย่างไรก็ตามบรรยากาศหลังสงครามโลกต้องการความสมานฉันท์ อานันทได้ถูกรับเชิญให้กลับมารับตำแหน่งกษัตริย์ไทย ครอบครัวตระกูล มหิดล จึงเดินทางกลับมาอย่างชั่วคราวในปลายปี 2488 เด็กทั้งสองคนหวังที่จะกลับไปเรียนหนังสือต่อให้จบในระดับมหาวิทยาลัยในประเทศสิวสเซอร์แลนด์ ก่อนที่จะรับหน้าที่สืบสันตติวงศ์<br /><br />ก่อนการเดินทางกลับยุโรปในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 อานันทถูกลอบปลงพระชนน์ที่เตียงนอนด้วยกระสุนปืนนัดเดียวเจาะเข้าที่ศีรษะ เมืองหลวงเต็มไปด้วยข่าวลือว่าใครเป็นผู้ฆ่า มันเป็นการฆ่าตัวตาย หรือพวกหัวก้าวหน้าฆ่า หรือแม้นกระทั่งน้องชายตัวเองเป็นผู้ฆ่า คดีนี้ยังเป็นคดีที่มีลับลมคมนัยมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า เพียงแค่ข้ามคืน ผู้ที่โชคดีที่สุดคือผู้ที่ใส่แว่นตาหนานั้นคือ ภูมิพล ผู้มีอายุได้ 18ปี กลายเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์บนแผ่นดินที่ท่านเองพูดภาษาไทยได้ไม่ชัด มีวัฒนธรรมที่แตกต่างผิดเพี้ยนไปจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ อีกทั้งยังป่าเถื่อนและล้าหลัง<br /><br />หลังจากวันที่พี่ชายเสียชีวิต เรื่องราวของภูมิพลขึ้นครองราชย์เหมือนกับตำนานจากเทพนิยาย 4 ปีที่ไปศึกษาต่อในยุโรป แล้วเดินทางกลับมาในปี 2493 ได้ทำพิธีราชาภิเษก และอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสิริกิต์ ผู้ที่มีเสน่ห์ความงามเป็นที่ชื่นชมของชาวโลก มีลูกด้วยกันสี่คน เป็นชายรูปหล่อหนึ่งคนซึ่งหวังว่าจะเป็นผู้สืบราชวงศ์ และหญิงสาม<br /><br />รูปแบบสังคมสมัยใหม่ในแบบเจ้าขุนมูลนายหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อกษัตริย์หนุ่มชอบแล่นเรือใบ เล่นดนตรีแจ็ซ มีสถานีวิทยุของตัวเอง เขียนรูปภาพสีน้ำมัน และชอบออกงานสังคมชั้นสูง เมื่อมีวาระโอกาสก็สวมใส่ชุดลายทอง สวมมงกุฎปลายแหลม อย่างเช่นในฉากละครเรื่อง The King and I ซึ่งเรียนแบบปู่ทวด เพื่อให้เหมาะสมกับวิถีทางประเพณีทางศาสนาพุทธ กษัตริย์หนุ่มลาออกบวช บำเพ็ญเจ ศึกษาภาษาโบราณ โดยการโกนหัว ใส่ชุดผ้าเหลือง ใส่แว่นกันแดด ดูแล้วเด่นยิ่งกว่าตัวละครในหนังสือของแจ็ค ครัวแวค เสียอีก (นักเขียนอเมริกัน ค.ศ.1922-1969)<br /><br />ตำนานเรื่องราวของกษัตริย์มีเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2503 กษัตริย์ภูมิพลกับราชินีสิริกิต์ เดินทางออกเยี่ยมประเทศต่างๆอย่างประสพผลสำเร็จ เป็นอาคันตุกะของผู้นำประเทศในยุโรปและได้รับการต้อนรับด้วยขบวนพาเรดใน<br />นิวยอรค์ ส่วนในประเทศไทย ผู้ที่เลื่อมใสในระบบของราชวงศ์ต่างพากันฟื้นฟูประเพณีของกษัตริย์กันอีกครั้งหนึ่ง คนไทยดูเหมือนจะนิยมยึดถือติดอยู่กับค่านิยมเก่าๆจากอดีต ในขณะที่ค่านิยมของตะวันตกและลัทธิคอมมิวนิสต์ได้แผ่กระจายเข้ามาในเขตอินโดจีนแล้ว<br /><br />ภูมิพลละทิ้งค่านิยมในยุโรป หันมาปกครองประเทศในระบบโบราณพันล้านปีอย่างธรรมราชา กษัตริย์ที่ปกครองประเทศด้วยความเป็นธรรม ตามหลักศีลธรรมทางพุทธศาสนา ท่านได้ทำการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ ขจัดรัฐบาลโกงกิน และนักการเมืองให้เดินถูกทาง ในกรณีที่ฉุกเฉิน อย่างในปี 2535 ท่านได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าไปช่วยให้สถานการณ์ของประเทศ ให้พ้นจากความสับสนอลหม่าน<br /><br />ในทุกหัวเลี้ยวหัวต่อ ยิ่งเพิ่มอำนาจบารมีให้กับท่านมากขึ้น ซึ่งมีรากฐานมาจากคุณลักษณะที่นิ่งสงบและมีสง่าราศี ชาวไทยที่เชื่อถือในโชคลาภและกฎแห่งกรรม ต่างพากันคิดว่าเป็นบุญหล่นทับที่มีกษัตริย์ที่มีศุภนิมิตรเช่นนี้ ท่านทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดหน่อยเพื่อประชาชนโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ การเสียสละของท่านเป็นที่เห็นกันดี ขณะที่คนไทยเป็นคนช่างยิ้มและชอบเรื่องตลกโปกฮา และปล่อยชีวิตให้เป็นเรื่องของโชคชะตา แต่ตัวกษัตริย์ภูมิพลเองต้องเอาจริงเอาจัง ทนทรมานแบกภาระต่างๆของชาติเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่วันที่พี่ชายตายไปอย่างน่าสงสัย ดูเหมือนท่านไม่เคยยิ้มอีกต่อไป ลักษณะของท่านเหมือนติดอยู่ในกับดักภารกิจการกอบกู้ราชบัลลังก์<br /><br />สำหรับชาวไทยทั่วไป นี่คือสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณที่สูงส่ง ในประเพณีทางพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม และการแสดงออกทางสีหน้าต่างๆคือการแสดงออกของความโลภและกิเลส กษัตริย์ภูมิพลจึงตีสีหน้าได้อย่างแน่นิงสนิท เพื่อสร้างความเชื่อถือยึดมั่นออกสู่สายตาประชาชน ดังเช่นกษัตริย์องค์ก่อนๆที่แสดงกันมา อย่างเช่นในสมัยธรรมราชาในศตวรรษที่สิบสามของอาณาจักรสุโขทัย ที่ชาวบ้านต่างเรียกกษัตริย์ว่า เจ้าแผ่นดิน หรือ เจ้าชีวิต จนแม้นกระทั่งชาวไทยที่ส่วนมากเปรียบเทียบกษัตริย์ของเขาเหมือนดังเช่น พระพุทธเจ้า กลับชาติมาเกิด<br /><br />นี่คือวิสัยทัศน์หนึ่งของรัชกาลที่ 9 แต่ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน ในการที่กษัตริย์ภูมิพลสร้างอำนาจาและบารมีของราชวงศ์ขึ้นมาได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายและบังเอิญ มันเป็นการหว่านพืชเพื่อหวังผล และความตั้งใจแน่วแน่มานมนาน จนในบางครั้งก็มีความอำมหิตรวมอยู่ด้วย ที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาสิทธิของสายเลือดโดยกำเนิดของราชวงศ์กลับคืนมา อันเป็นการแก้เผ็ดต่อการปฏิวัติรัฐประหารในปี 2475 นี่คือผลพวงที่กษัตริย์ภูมิพลสร้างสะสมเอาไว้<br /><br />เริ่มต้นจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง บรรดาเจ้าฟ้าที่หลงเหลืออยู่น้อยนิด ต่างพากันหว่านโรยรากฐานวัฒนธรรมของระบบราชาธิปไตยทิ้งไว้ โดยใช้ภูมิพลเป็นเครื่องมือในการสืบทอดและสถาปนาราชวงศ์ให้มั่นคงกลับขึ้นมาใหม่ โดยได้กำจัดพวกหัวก้าวหน้าประชาธิปไตย และบรรดาพวกนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับใครก็ตามที่จะช่วยให้ภายในวังมีอำนาจมากขึ้น ดังเช่น พวกบรรดานายพลที่โหดเหี้ยมเห็นแก่ได้ พวกพ่อค้ายาเสพติด นายธนาคาร นายทุนหน้าเลือด ที่มีสายใยใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกันและ C.I.A.<br /><br />เพื่อเป็นการรื้อฟื้นและสถาปนาระบบกษัตริย์ให้เข้มแข็ง จึงมีระเบียบการบริหารที่ทำการควบคุมการศึกษา ศาสนา การตีความและการบันทึกประวัติศาสตร์ และปลูกฝังค่านิยมด้วยคำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ชาวบ้านท่องจำกันทุกๆวัน กษัตริย์คือสิ่งสำคัญที่สุดขององค์ประกอบทั้งสาม อย่างไรก็ตามในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนในประวัติศาสตร์ หนังสือ รวมทั้งสื่อมวลชนต่างถูกคุกคามและควบคุม ไม่มีนักการเมือง นายกรัฐมนตรี ผู้นำสังคม คนใดที่จะได้รับการจารึกเอาไว้ในความสำเร็จต่างๆ นอกจากกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและบรรดาราชวงศ์ทั้งหลาย เพื่อเป็นการปกป้องราชวงศ์ วันหยุดต่างๆคือวันหยุดที่ให้เกียรติ์ต่อราชวงศ์ ชื่อสถาบันต่างๆ โรงเรียน โรงพยาบาล ต่างพากันตั้งชื่อเพื่อให้เป็นเกียรติคุณต่อราชวงศ์จักรีเท่านั้น<br /><br />สิ่งที่ยอมรับกันดีในสังคมไทยก็คือ ในช่วงที่ภูมิพลขึ้นครองราชย์นั้น ประเทศไทยได้หันเหไปสู่เส้นทางประชาธิปไตยแล้ว แต่คนจำนวนสี่ส่วนห้าของพลเมือง 18 ล้านคนยังอยู่ในชนบทและป่าเขา มีวัดเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน การทำไร่ไถ่นาตามฤดูกาลต่างขึ้นอยู่กับความเชื่อทางพุทธศาสนา เมื่อชาวบ้านมีการศึกษาน้อยและมีความเชื่อถืออยู่กับวัดวาอารามและศาสนา ดังนั้นคุณงามความดีต่างๆที่เกิดขึ้นได้นั้นก็เพราะกษัตริย์ เริ่มจากฤดูฝน ไปจนถึงการช่วยเหลือผู้ประสพภัยต่างๆ การค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ ชาวบ้านต่างคิดว่ามาจากนายหลวง หาใช่มาจากภาครัฐบาล หรือตัวแทนของประชาชน หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งอันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง<br /><br />ด้วยความตั้งใจมั่น ฝึกฝน ในเชิงประเพณีและวัฒนธรรมไทย ทำให้ผู้คนในประเทศมองเห็นกษัตริย์ภูมิพลว่ามีความชอบธรรม ฉลาด และเมตตาปราณี อย่างที่ชาวบ้านเห็นกันกับตากันอยู่เรื่อยๆว่า แม้นแต่นายพลผู้มีอำนาจ บรรดานายธนาคาร ข้าราชการ รวมทั้งพระก็ยังต้องก้มลงกราบเบื้องพระบาทของพระองค์ท่าน ซึ่งตามกฎหมายได้ยกเลิกกันไปนานหลายร้อยปีแล้ว แม้นกระทั่งได้เปรียบเทียบกษัตริย์ที่มีรูปลักษณะที่สงบนิ่งคล้ายกับได้บรรลุโสดาบันถึงขั้น อุเบกขา บรรดาพวกข้าทาสในวังต่างปกป้องไม่ยอมอนุญาตให้ตีพิมพ์รูปภาพ รูปเขียน ของกษัตริย์ที่มีรอยยิ้ม เพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่อต่อชาวบ้านให้เคารพบูชากษัตริย์และราชวงศ์ให้สูงส่งอยู่เหนืออำนาจใดๆทั้งมวล รวมทั้ง ประชาธิปไตย รัฐสภา รัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆของประเทศ<br /><br />เป็นเรื่องที่น่าทึ่งว่าตามเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา กษัตริย์ภูมิพล เกิดในอเมริกา ได้รับการศึกษาที่มีเหตุมีผลจากสวิสเซอร์แลนด์ ได้กลับกลายเป็นผู้มีความเลื่อมใสเชื่อถือในการปรกครองระบอบธรรมราชา โดยได้ทำการศึกษาจากความสำเร็จของบรรพบุรุษเช่นกษัตริย์องค์ก่อนๆ เรียนรู้พิธีราชกรณียกิจ ศึกษาค้นคว้าพุทธปรัชญา และบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ภายใต้การแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เรียนรู้วิธีการทำธุรกิจที่เฉียบขาด โดยได้เรียนรู้ทุกอย่างครอบจักรวาล เพื่อเป็นผู้คงแก่เรียนและตัดความเห็นแก่ตัวออกไป ผลลัพธ์คือเป็นกษัตริย์ผู้เพียบพร้อมแข็งแกร่งสามารถนำประเทศชาติและประชาชนให้พ้นภัยได้<br /><br />ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง กษัตริย์ภูมิพลได้ก้าวเดินไปไกลเกินกว่าที่ปรึกษาองคมนตรีและบรรพบุรุษได้ตั้งใจเอาไว้มาก ในปี 2503 อันเป็นช่วงวิกฤตการสูงสุดของสงครามอินโดจีน ท่านได้เอาตัวเอง เข้าไปพัวพันกับการเมือง การพัฒนาประเทศ การยุททศาสตร์ โดยทำตัวอยู่ในหลังม่าน กษัตริย์ภูมิพลวางแผนชาติ แนวทางประชาชน จนแม้นกระทั่งทำการเลือกตัวผู้นำประเทศ ท่านได้ร่วมเป็นผู้นำการวางแผนการยุทธศาสตร์ในการต่อต้านการแทรกแซง ซึ่งได้นำไปใช้แทนกลยุทธ์อเมริกันในสงครามเวียดนาม จนช่วงสามสิบปีของการครองราชย์ ในปี 2519 ท่านเป็นผู้ที่มีอำนาจการเมืองอย่างสูงสุดในประเทศไทย ท่ามกลางระบบประชาธิปไตยที่มีพระกษัตริย์เป็นประมุขที่มีอยู่ในโลก กษัตริย์ภูมิพลอาจเป็นกษัตริย์ผู้เดียวที่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากที่สุด<br /><br />กษัตริย์ภูมิพลได้รับความนับถือ ถึงขั้นเอาขึ้นแท่นบูชาจากประชาชนไทย ทุกคนต่างทราบกันดีว่า ท่านมีความปรีชาสามารถ และช่วยเหลือประชาชน แต่ก็คงไม่มีใครกล้าพูดถึงท่านในทางไม่ดีเป็นแน่ เพราะมีกฎหมายหมิ่นประมาทพระบรมเดชานุภาพที่ปกป้องทุกคนในราชวงศ์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หากมีความผิดมีสิทธิ์ติดคุกถึง 10 ปี อันเป็นสาเหตุที่ไม่ให้มีใครกล้าพูดถึงกษัตริย์ไทยและครอบครัว รวมทั้งบรรดาราชวงศ์ทั้งหลาย หลังจากที่ได้เสวยราชย์มาได้ร่วมหกสิบปี ประวัติและเรื่องราวของกษัตริย์ภูมิพลที่มีส่วนพลั่กดันประเทศชาติ ยังไม่มีใครกล้าที่จะแตะต้อง<br /><br />ในเรื่องราวต่างๆที่บันทึกไว้อย่างเป็นทางการ กษัตริย์ภูมิพลได้สร้างกรณียกิจเอาไว้มาก เมื่อมีเหตุการณ์ไม่สงบหรือขัดแย้งกันเกิดขึ้น อย่างในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ท่านได้แสดงตัวออกมาเพื่อสร้างความสมานฉันท์เป็นน้ำหนึ่งเดียวกันให้กับประเทศไทยอีกครั้ง<br /><br />แต่ผลลัพธ์ของกษัตริย์ภูมิพลที่นำเอาระบบธรรมราชากลับมาใช้อาจจะไม่แจ่มแจ้งเท่าตัวท่านเอง หลังจากรัฐธรรมนูญปี 2475 กษัตริย์มีหน้าที่เพียงเป็นหุ่นเชิดเท่านั้น อย่างไรก็ตามการที่ท่านเอาตัวเข้าไปพัวพันมีบทบาทการเมือง ย่อมมีผลที่แตกร้าวระหว่างผู้คนในภายหลัง แทนทีจะสนับสนุนความก้าวหน้าทางด้านประชาธิปไตยต่างๆ ในวังกลับจำกัดขอบเขต วิถีทางการเมือง เศรษฐกิจ จะเป็นอย่างไรก็ได้แต่ต้องไม่ละเมิดขอบค่ายและผลประโยชน์ของราชวงศ์ ซึ่งกษัตริย์ได้ปลูกฝังความคิดไว้ว่าให้ชาวบ้าน เคารพ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์<br /><br />กษัตริย์ภูมิพลได้รับการอบรมสั่งสอนจากบรรดาที่ปรึกษาองคมนตรีผู้อาวุโสต่างๆในราชวงศ์ ให้มีหน้าที่ปกป้องรักษาสถาบันกษัตริย์อย่างสุดความสามารถ และจากพื้นฐานนี้ ท่านจึงสรุปเอาไว้ว่า บรรดาสมาชิกสภาต่างทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ท่านตัดสินใจเอาเองว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญมีไว้เพื่อผู้ที่ไม่ประสงค์ดีต่อราชวงศ์ และไม่ปกป้องในเนื้อหาจุดประสงค์ของท่าน ยิ่งกว่านั้นท่านยังมีความเชื่อว่าระบบประชาธิปไตยแบบยุโรป รัฐธรรมนูญ และทุนนิยม ต่างแบ่งแยกประชาชน ซึ่งขัดต่อการปกครองแบบระบอบธรรมราชา หรืออีกทัศนหนึ่งก็คือประเทศไทยสมัยใหม่ ควรที่จะอยู่ใต้คำบ่งการของกษัตริย์และกฎทางศีลธรรม มีความจงรักษ์ภักดี ดังเช่นบรรดาข้าราชบริพาร ขุนพล ขุนนาง ผู้สืบเชื้อสายตระกูลของราชวงศ์ ดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้<br /><br />จนถึงที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้รวบรวมขุนพลนายทหารหน้าข้าวตังไว้ในวังมากมาย และพวกมันได้ทำการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า ความโหดเหี้ยมและการโกงกินนั้นเป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าที่สังคมจะแก้ไขได้ อย่างเช่นในปี 2513 ที่พวกลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามามีอิทธิพลในประเทศ เพียงแต่การผงกหัวส่งสัญญาณจากในวัง ภายใต้ความเชื่อถือใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตราบใดที่บรรดาทรราชขุนพลแสดงความจงรักษ์ภักดีต่อราชวงศ์มากกว่า การยึดถือในกฎหมายรัฐธรรมนูญ และตราบใดที่ราชอาณาจักรไทยมีความสงบเรียบร้อย กษัตริย์ภูมิพลก็คงจะปล่อยให้ขุนพลเหล่านั้นกุมอำนาจกันต่อไปในมือ<br /><br />ในจำนวนเก้าครั้งที่มีทหารทำการปฏิวัติได้สำเร็จ และหลายครั้งที่ล้มเหลว ย่อมมีผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ รวมทั้งเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยคือ การฆ่าหมู่นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2519 ที่ทหารอ้างว่ากระทำไปเพื่อเป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์ของชาติ<br /><br />อีกตัวอย่างหนึ่งคือ พฤษภาทมิฬ ปี 2535 พลเอก สุจินดา ผู้โกงกินประเทศได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำทหารสูงสุด พลเอก สุจินดา ได้ทำการปฏิวัติในปี 2534 และได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ภูมิพล และต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ได้ประจันหน้ากันกับกลุ่มชุมนุมผู้ประท้วงที่สงบเสงี่ยม สุจินดาสั่งการให้ทหารยิงปืนกราดไปยังเหล่าผู้เดินขบวน โดยอ้างว่าพวกผู้เดินขบวนมีความเป็นภัยต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สามวันต่อมากษัตริย์ได้เข้าไปยุติเรื่องราวเหล่านี้ และอย่างที่เห็นกันว่า สุจินดาได้รับการปกป้องจาก กษัตริย์ โดยที่กษัตริย์ได้ทำการตำหนิว่าคู่ปรปักษ์ ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง และโยนความผิดไปที่นายจำลอง มากกว่าสุจินดา<br /><br />การที่กษัตริย์ภูมิพลเข้าไปไกล่เกลี่ยกรณีขัดแย้งนี้เป็นเวลาราวสิบเอ็ดชั่วโมงในพฤษภาทมิฬ เป็นการกระทำที่ปราศจากประหม่า และสร้างผลงานให้กับตนเองอีกครั้ง หลายปีผ่านไปภาพของเหตุการณ์นั้นที่กษัตริย์ออกมาตักเตือนคู่ปรปักษ์ทั้งสองคือ สุจินดา และ จำลอง ได้นำออกมาเปิดเผยทางโทรทัศน์และโรงภาพยนตร์ซ้ำแล้วซ้ำเหล่า รวมทั้งทำเป็นหนังสือเพื่อเตือนความทรงจำของคนไทย 60 ล้านกว่าคนว่า สาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยที่ดำรงคงอยู่รอดมาได้นั้น ก็เพราะบารมีของราชวงศ์จักรีที่คุ้มครองชาติไทย<br /><br />กษัตริย์ภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่ไม่เหมือนใครในศตวรรษที่ยี่สิบ ที่ต้องการแข่งขันมีอำนาจกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในสมัยใหม่ แทนที่จะยอมรับตำแหน่งของตนเองอย่างในประเทศอังกฤษหรือญี่ปุ่น กษัตริย์ภูมิพลทำตัวเป็นตัวเอกในด้านการเมือง การสร้างความสำเร็จเหล่านี้เป็นการเสี่ยงตนเองอย่างยิ่ง ระบบราชาธิปไตยนั้นเหมือนดาบสองคม ถ้าทำสำเร็จก็คือยกย่องสถาบันกษัตริย์ ถ้าล้มเหลวก็คือทำลายทั้งระบบและบารมี เพราะบารมีคืออำนาจที่แท้จริงในระบบราชาธิปไตยสมัยใหม่ และยากต่อการสร้างสม บรรดากษัตริย์และราชินีส่วนมากต่างหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงกับการเมืองชั้นต่ำสวะ<br /><br />กษัตริย์ภูมิพลไม่ไยดีต่อกฎเกณฑ์เหล่านี้ ครั้งแล้วครั้งเหล่าที่นำตัวเข้าไปมีบทบาททางด้านการเมือง แต่ดูเหมือนจะเป็นการเพิ่มชัยชนะและสร้างภาพพจน์ให้ดีและยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น จะเห็นได้จากอย่างในกรณีวิกฤตกาลต่างๆ ยกเว้นเหตุการณ์ฆ่าหมู่ในปี 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่กษัตริย์ทำการพลิกแพลงวิกฤตกาลต่างๆจนกลายเป็นวีรบุรุษ โดยการกำจัดคนชั่ว ปกป้องรัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตย นี่คือการแสดงที่แนบเนียมน่าเชื่อถือของกษัตริย์ภูมิพล<br /><br />สำหรับพวกผู้ดีชั้นสูงที่สนับสนุนและหาผลประโยชน์กับราชบัลลังก์ มันคือการปกป้องพวกเจ้าขุนมูลนาย ชนชั้นสูง นายทหาร และนักธุรกิจใหญ่ๆ แต่กษัตริย์ภูมิพลเห็นว่าควรทำตัวให้สูงส่งกว่าการทำตัวอวดดีและเห็นแก่ตัวนั้น เพราะกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เชื่อถือในการปกครองด้วยระบบธรรมราชา ที่มีนโยบายในการปกครองประเทศตามหลักธรรมในพุทธศาสนา ท่านคิดว่าพวกที่ทำตัวเป็นบริวารล้อมรอบท่านนั้นไม่มีความจริงใจในการใช้หลักแห่งธรรม ท่านรู้ว่ามีแต่ชาวบ้านหรือชนชั้นชาวนาเท่านั้นที่มีความเชื่อถือในตัวท่าน<br /><br />เป็นเวลาร่วมห้าสิบปีที่กษัตริย์ภูมิพลได้ทุ่มเทสร้างสมความดี ท่านพยายามที่จะเข้าถึงคนยากคนจนผู้ต่ำต้อย ท่านเข้าไปไกล่เกลี่ยอย่างเงียบๆในกรณีที่ชาวบ้านถูกรังแกจากเจ้าหน้าที่ ท่านตักเตือนให้หลีกเลี่ยงความโลบและการลุ่มหลง และตลอดเวลาท่านไม่เคยหลงใหลไปกับความสุขสบายอย่างกษัตริย์ ยกเว้นสมาชิกในครอบครัว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เจือจางความสำเร็จในการครองราชย์ครบรอบห้าสิบปี ในปี 2543 ประชาชนชาวไทยต่างได้รับการสนับสนุนให้ยกย่องเฉลิมฉลองเชิดชูกษัตริย์ของตนจนเท่าเทียมกับเทวดา ไม่ต่างจากศตวรรษที่ผ่านมา ที่ภายในวังเคยพยายามสร้างความประทับใจเช่นนี้เอาไว้แล้ว<br /><br />การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยหลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น คือเรื่องราวของกษัตริย์ภูมิพลกับราชวงศ์ที่ประสพความสำเร็จ เป็นผู้นำที่คงทนหลังจากสงครามโลกและผ่านภาระช่วงสงครามเย็นที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องราวต่างๆไม่เคยบันทึกเอาไว้ นักคิดนักเขียนต่างไร้ข้อมูลและหลีกเลี่ยงการเขียนถึง ตั้งแต่ปี 2475 ประเทศไทยได้เน้นถึงความก้าวหน้า และเลิกให้ภายในวังมีส่วนเกี่ยวข้องในด้านการเมือง บางคนก็ยังหน้ามืดตามัวหลงอยู่กับระบบกษัตริย์ บางคนก็เกรงกลัวกับขอห้าหมิ่นประมาทราชวงศ์ ผลลัพธ์ที่แน่ชัดก็คือการสร้างความเชื่อถือที่ว่า กษัตริย์คือผู้ที่อุทิศตนเพื่อมวลชน มีความยุติธรรม และไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับการขัดแย้งทางการเมือง<br /><br />ผลงานการค้นความของหนังสือเล่มนี้ต้องการบรรยายให้เห็นว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทำอย่างไร ในการสร้างสถาปนาราชบัลลังก์จักรีให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง กุญแจแห่งความสำเร็จเหล่านี้คือ รากฐานวัฒนธรรม ประเพณี การสร้างสงครามเย็น การพัฒนาการด้านความคิด โลกทัศน์ส่วนตัวของกษัตริย์ และลัทธิทุนนิยมจากในวังที่น้อยคนจะรู้นัก และเนื้อหาสาระที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องอื้อฉาวต่างๆภายในครอบครัวและราชินีสิริกิต์ รวมทั้งลูกหลานและเหลน เพราะบรรดาบุคคลในราชวงศ์เหล่านี้ มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวในการเสริมสร้าง และสถาปนาราชวงศ์จักรีของกษัตริย์ภูมิพล ให้อยู่รอดได้อีกครั้งหนึ่ง<br /><br />ระบบราชาธิปไตยในความหมายแล้วคือการสืบสันตติวงศ์ อำนาจที่ผ่านมอบให้ต่อผู้ที่มีความสามารถอันเป็นที่ยอมรับกันตามอันดับฐานันดร โดยเฉพาะโอรสองค์แรก การสืบสันตติวงศ์โดยโอรสตามลำดับนี้อาจจะล้มเหลวได้ ไม่มีการรับประกันได้ว่าจะมีการสืบทอดราชวงศ์ หรืออาจจะลงเอยด้วยการได้กษัตริย์ที่ปราศจากคุณวุฒิและมีความชั่วร้าย<br /><br />เมื่อภูมิพลได้มงกุฎกษัตริย์มาสวมใส เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงการสืบต่อของระบบราชาธิปไตยนั้นน่าทึ่ง แต่ผู้ที่หวังจะขึ้นครองราชย์คนต่อไปคือโอรสของกษัตริย์ภูมิพลกับราชินีสิริกิต์ คือเจ้าฟ้าวชิราลงกรณนั้นไม่มีความสามารถเทียบเท่ากับผู้เป็นพ่อ เช่นเดียวกับเจ้าชายชาร์ลแห่งอังกฤษที่รอแล้วรอเล่าที่จะรับตำแหน่งกษัตริย์ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณก็เช่นเดียวกันที่เฝ้ารอรับตำแหน่งอย่างน่าระเหี่ยใจ แม้นเรื่องราวที่มีมลทินต่างๆจะถูกเก็บปกปิดเอาไว้ก็ตาม แต่ตามท้องถนนในกรุงไปจนถึงทุ่งนาป่าเขาจะได้ยินเสียซุบซิบนินทาด่าว่าเกี่ยวกับเจ้าฟ้าคนนี้<br /><br />ยิ่งกว่านั้น ประเทศไทยที่เจ้าฟ้าวชิราลงกรณหวังรอที่จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์นั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ต่างจากสมัยที่กษัตริย์ผู้พ่อเข้ารับตำแหน่ง ปัจจุบันน้อยกว่าครึ่งของคนไทยที่เป็นชาวนาตาสีตาสา และคนส่วนมากต่างมีการศึกษาขั้นพื้นฐาน และบางคนอาจมีชีวิตอาศัยทำงานอยู่ในต่างประเทศที่เจริญแล้วเช่นเอเชียหรือในโลกตะวันตก ปัญหาของประเทศนั้นยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งต้องอาศัยผู้เชียวชาญช่วยในการแก้ไข ขณะเดียวกันภายในวังก็ไม่สามารถจำกัดการเผยแพร่ทางด้านสื่อมวลชนต่างๆ รวมทั้งภาพพจน์ที่ไม่ดีของตนเองได้<br /><br />โอกาสที่เจ้าฟ้าวชิราลงกรณจะเข้ามาทำหน้าที่กษัตริย์ได้สมกับผู้เป็นพ่อค่อนข้างจะยากมาก และคนไทยส่วนมากต่างก็หวาดระแวงกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เมื่อถึงจุดที่สูงสุดของการปกครองในระบบราชาธิปไตยนี้ สถาบันกษัตริย์ไทย ต้องเผชิญกับอนาคตที่น่าเขย่าขวัญกันต่อไป คือการสืบสันตติวงศ์อันเป็นสิ่งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างราชวงศ์กับรัฐบาล ซึ่งต่างยังหาทางออกกันไม่ได้ นอกจากช่วยกันสนับสนุนและสร้างค่านิยมให้กับราชวงศ์จักรีกันต่อไป ด้วยประเด็นนี้จึงทำให้เกิดคำถามอย่างกว้างๆเกี่ยวกับรัชกาลที่เก้าที่จะต้องการซ่อมแซมสถาบันของตนเอง จริงหรือที่กษัตริย์ภูมิพลได้สร้างรูปแบบการปกครองในระบบราชาธิปไตยให้คงอยู่ได้อีกครั้ง ในยุคสมัยของระบอบที่ก้าวหน้าอย่าง ระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หรือว่ามันเป็นการกระทำที่ผิดพลาดที่นำเอาระบบกษัตริย์กลับมาใช้อย่างไม่ถูกต้องกับกาลสมัยนี้ มันเป็นการรื้อฟื้นระบบที่ตายไปแล้วกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะกระทำเลยก็ได้TKNShttp://www.blogger.com/profile/07270010479047374707noreply@blogger.com1